พลังของพ่อแม่ทำให้หนูไฮเปอร์มากขึ้น

ช่วงนี้มีคุณผู้อ่านอินบ็อกซ์เข้ามาในเพจ kate inspirer ถามเกี่ยวกับวิธีรับมือกับลูกๆ ที่ไฮเปอร์และสมาธิสั้นกันหลายคน ในตอนก่อนๆ ที่ผ่านมา ครูเคทได้เขียนถึงเด็กไฮเปอร์และสมาธิสั้นไปหลายตอนแล้ว ครั้งนี้เลยขอเขียนเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง เพราะส่วนใหญ่มักจะมุ่งแก้ปัญหาพฤติกรรมของลูก เพราะเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่ลูก ต้องแก้ที่ลูก จนไม่ได้ตระหนักว่าคลื่นสมองของพ่อแม่สามารถส่งคลื่นรบกวนคลื่นสมองของลูกด้วย

สมัยที่ครูเคทเรียนจิตวิทยา อาจารย์ท่านหนึ่งได้สอนว่าทุกครั้งที่เจอผู้มารับคำปรึกษาต้องสอบถามพูดคุยและสังเกตกิริยาท่าทาง ฯลฯ ก่อนที่จะลงความเห็นว่าเขามีปัญหาหรือความผิดปกติใด แต่อาจารย์ได้พูดติดตลกว่ามีข้อยกเว้นสำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า แค่คนไข้ซึมเศร้าเดินเข้ามาในห้องเราจะสามารถสัมผัสพลังเศร้าหมองได้ทันที ซึ่งตอนเรียนครูเคทก็คิดว่าอาจารย์พูดตลก แต่พอตอนที่ไปฝึกงานกับจิตแพทย์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์หมอนึกว่าไม่มีคนไข้แล้ว จึงนั่งพูดคุยกับครูเคทอย่างสนุกสนานและทันใดนั้น เราทั้งสองคนหยุดหัวเราะกันกลางอากาศโดยไม่ได้นัดหมาย และรู้สึกงงๆ ว่าหยุดหัวเราะทำไม แต่พอเราหันไปทางประตู ปรากฏว่ามีคนไข้ตกค้างอยู่หนึ่งคนซึ่งเข้ามายืนเงียบๆ ในห้องนานแล้ว พออาจารย์ได้วินิจฉัยพบว่าคนไข้ท่านนั้นเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้ครูเคทย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดอาจารย์จิตวิทยาที่เคยบอกว่าเราจะสัมผัสความซึมเศร้าจากคนไข้ซึมเศร้าได้ก่อนที่จะได้พูดคุยกับคนไข้ด้วยซ้ำไป แสดงว่าในตอนนั้น ครูเคทกับอาจารย์หมอสัมผัสพลังซึมเศร้าของคนไข้ได้โดยไม่รู้ตัวและพลังนั้นขัดกับพลังเบิกบานที่เรากำลังหัวเราะกันอยู่ จึงเกิดการหยุดค้างแบบงงๆ

เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงมีประสบการณ์ตรงอย่างนี้ในครอบครัวอยู่แล้ว เช่น เวลาลูกกำลังหงุดหงิดแหกปากร้องไห้ พ่อแม่ก็จะเผลอหงุดหงิดหนักกว่าลูกเพราะกำลังกังวลว่าทำอย่างไรให้ลูกหยุดร้อง นั่นคือการรับส่งพลังงานระหว่างกันและกัน จึงทำให้พลังงานแห่งความโมโหทวีคูณขึ้นมากกว่าปกติ หรือ เวลาแฟนสาวน้อยใจร้องไห้ ฝ่ายชายรู้สึกกังวลใจไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะใจอยากปลอบให้เธอหยุดร้องไห้ พลังแห่งความกังวลใจของฝ่ายชายจะไปผสมกับพลังแห่งความน้อยใจเสียใจของฝ่ายหญิง ก็เลยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น และอาจมีตัดพ้อต่อว่าหนักขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น

ในกรณีที่ลูกเป็นเด็กไฮเปอร์ ซึ่งคลื่นสมองของเขาจะไม่เสถียรอยู่แล้ว คือ ตอนความถี่สูง เขาจะมีอาการกระวนกระวาย อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ต้องลุกเดินไปมา หยิบนู่นนี่ หรือบางคนก็จะพูดมาก ตอนที่ความถี่ต่ำ เขาจะง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งพฤติกรรมทั้งสองช่วงเป็นสิงที่พ่อแม่ไม่พึงประสงค์และพยายามจะจัดการให้กลับสู่พฤติกรรมปกติที่พ่อแม่ต้องการ แต่พ่อแม่ที่ไม่เข้าใจนอกจากจะจัดการไม่ได้แล้ว พลังความหงุดหงิดของพ่อแม่ที่จัดการกับพฤติกรรมของลูกไม่ได้ จะยิ่งถูกส่งต่อไปยังลูก ทำให้คลื่นสมองของลูกรวนหนักกว่าเดิม ที่อาละวาดร้องไห้โยเย ก็จะอาละวาดหนักกว่าเดิม ที่กำลังรู้สึกเสียใจ ก็จะเสียใจหนักกว่าเดิม

ดังนั้น เวลาพ่อแม่รับมือกับเด็กไฮเปอร์ สมาธิสั้น หรือแม้แต่เด็กปกติที่ทำพฤติกรรมที่พ่อแม่ไม่ต้องการ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ พ่อแม่ต้องปรับพลังของตัวเองก่อน รู้สึกตัวให้ไวก่อนว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด กำลังโมโห หรือ วิตกกังวล ฯลฯ จากนั้นค่อยๆ ปรับอารมณ์ของพ่อแม่ให้เป็นกลางก่อน แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับพฤติกรรมของลูกด้วยความเมตตา เทคนิคง่ายๆ ในการปรับอารมณ์พ่อแม่ก่อนที่จะดุลูกคือ การสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สัก 2-3 วินาที แล้วหายใจออกยาวๆ ทำซ้ำสัก 5-10 ครั้ง จนเห็นได้ชัดว่าอารมณ์พ่อแม่ดีขึ้น แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับปัญหาต่างๆ ของลูกด้วยความรักและเมตตา พร้อมที่จะให้อภัยลูก แล้วลองสังเกตว่าลูกจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างง่ายดายและไม่ยืดเยื้อค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ