Tag: ไฮเปอร์

เกิดมาไฮเปอร์สมาธิสั้นแล้วทำไมโตมีโอกาสซึมเศร้าด้วย

วันก่อนมีหนุ่มน้อยนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามารับคำปรึกษากับครูเคท ถึงอาการซึมเศร้าซึ่งเป็นมาได้ 2 ปีครึ่งแล้ว และรักษากับจิตแพทย์ด้วยการทานยาอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เกิดอาการจิตตก โหวงๆ ข้างใน หัวใจเต้นเร็ว ไม่อยากทำอะไร ซึ่งในกรณีอย่างนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์ผู้รักษาเพื่อทำการปรับยาที่รักษา และพบนักจิตวิทยาเพื่อปรับกระบวนการคิดที่นำไปสู่อาการซึมเศร้า เมื่อได้ซักถามประวัติของน้อง พบว่าน้องเป็นเด็กไฮเปอร์ที่ซนมากตั้งแต่เล็กๆ ซนมาก ชอบวิ่งไปมา นั่งเรียนนิ่งๆ ไม่ได้ จะมีอาการง่วงนอน แล้วก็จะถูกครูดุที่พูดมาก หรือซน หรือหลับในห้องเรียน น้องมักจะขอครูไปเข้าห้องน้ำ หรือไปดื่มน้ำอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้น้องยังมีอาการสมาธิสั้น ทำอะไรไม่ค่อยเสร็จ พ่อแม่หรือครูต้องคอยกระตุ้น ทำการบ้านก็ห่วงเล่น หรือต้องลุกไปนู่นนี่แล้วจึงกลับมาทำ แต่น้องเป็นคนหัวดีมาก เรียนเก่ง ตอนนี้เรียนวิศวะ

ที่น้องเริ่มมีอาการซึมเศร้า เพราะคิดว่าการเรียนหนัก และน้องมีความเครียดในการเรียน ซึ่งต้องการจะทำเกรดให้ได้ดี มีความคิดอยู่เสมอว่าทำอะไรต้องทำให้ได้ดี ทำอะไรเสร็จแล้วก็มักจะกลับมาดูแล้วคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ นอกจากนี้น้องยังมีลักษณะการตีความคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไปในทางลบต่อตัวเองอยู่เสมอ เช่น เพื่อนทักว่าเห็นน้องอ่านหนังสือมาเต็มที่ ทำไมได้คะแนนแค่นี้ น้องเข้าใจว่าเพื่อนกำลังว่าน้อง หรือดูถูกน้อง แสดงให้เห็นว่าน้องเข้าใจโลกเพียงด้านเดียว แต่พอได้พูดคุยกันและฝึกให้น้องเข้าใจเจตนารมณ์ที่เป็นไปได้หลายทางของเพื่อนที่พูดอย่างนั้น ทำให้น้องเริ่มคลายเครียด เพราะเข้าใจได้ใหม่ว่าเพื่อนไม่ได้ว่าอะไร เป็นการถามไถ่ด้วยความสงสัยเท่านั้น

ปัจจุบันมักพบคนที่เป็นสมาธิสั้น หรือ ไฮเปอร์ตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้นมักมีอาการซึมเศร้าตามมาด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะในวัยเด็กมักจะถูกผู้ใหญ่ดุ ตำหนิ เปรียบเทียบ หรือห้ามในเรื่องต่างๆ อยู่บ่อยๆ ทำให้เด็กซึ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกับตัวเขา เขาไม่เข้าใจว่าเพราะคลื่นสมองที่ไม่เสถียรทำให้เขาซน ยุกยิก หรือแม้แต่ง่วงเหงาหาวนอน ทำให้เขาเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี ไม่เก่ง ทำอะไรก็ถูกว่าอยู่เสมอ ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกด้อย กังวลใจ ขาดความเชื่อมั่น และมองโลกในแง่ลบต่อตัวเองโดยไม่รู้ตัว และกลายเป็นความเครียดสะสมจนอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสอนการควบคุมคลื่นสมองและสภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ โดยให้เด็กหัดสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ เมื่อรับรู้ความผิดปกติที่ปรากฏสัญญาณบนร่างกาย เช่น ใจเต้นแรง ร้อน กล้ามเนื้อเกร็ง รู้สึกโหวงๆ ข้างใน ฯลฯ ให้รับรู้และผ่อนคลายบริเวณนั้น หรือรอคอยอย่างใจเย็นให้สัญญาณเหล่านั้นค่อยๆ หายไป ฝึกปรับอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้ นับ 1-2-3 หายใจออกยาวๆพร้อมกับคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง อารมณ์จะดีขึ้น การยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขในสมอง หากจะฝึกสมาธิควรฝึกสมาธิแบบเคลื่อนไหว เช่น ในขณะออกกำลังกายให้สังเกตการเคลื่อนไหว ความตึง หด ของกล้ามเนื้อ การถ่ายน้ำหนักขณะเคลื่อนไหว ก็จะช่วยเพิ่มสมาธิได้ดี นอกจากนี้ ควรดูแลปรับเพิ่มสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสภาวะอารมณ์ เช่น วิตามิน B สังกะสี แมกนีเซียม อาหารที่มีโปรตีนสูง โอเมก้า 3 งดอาหารที่มีสารกระตุ้นสมอง เช่น กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น และวางโทรศัพท์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีพลังงานให้ห่างตัวให้มากที่สุดตอนนอนค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือเข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

พลังของพ่อแม่ทำให้หนูไฮเปอร์มากขึ้น

ช่วงนี้มีคุณผู้อ่านอินบ็อกซ์เข้ามาในเพจ kate inspirer ถามเกี่ยวกับวิธีรับมือกับลูกๆ ที่ไฮเปอร์และสมาธิสั้นกันหลายคน ในตอนก่อนๆ ที่ผ่านมา ครูเคทได้เขียนถึงเด็กไฮเปอร์และสมาธิสั้นไปหลายตอนแล้ว ครั้งนี้เลยขอเขียนเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง เพราะส่วนใหญ่มักจะมุ่งแก้ปัญหาพฤติกรรมของลูก เพราะเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่ลูก ต้องแก้ที่ลูก จนไม่ได้ตระหนักว่าคลื่นสมองของพ่อแม่สามารถส่งคลื่นรบกวนคลื่นสมองของลูกด้วย

สมัยที่ครูเคทเรียนจิตวิทยา อาจารย์ท่านหนึ่งได้สอนว่าทุกครั้งที่เจอผู้มารับคำปรึกษาต้องสอบถามพูดคุยและสังเกตกิริยาท่าทาง ฯลฯ ก่อนที่จะลงความเห็นว่าเขามีปัญหาหรือความผิดปกติใด แต่อาจารย์ได้พูดติดตลกว่ามีข้อยกเว้นสำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า แค่คนไข้ซึมเศร้าเดินเข้ามาในห้องเราจะสามารถสัมผัสพลังเศร้าหมองได้ทันที ซึ่งตอนเรียนครูเคทก็คิดว่าอาจารย์พูดตลก แต่พอตอนที่ไปฝึกงานกับจิตแพทย์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์หมอนึกว่าไม่มีคนไข้แล้ว จึงนั่งพูดคุยกับครูเคทอย่างสนุกสนานและทันใดนั้น เราทั้งสองคนหยุดหัวเราะกันกลางอากาศโดยไม่ได้นัดหมาย และรู้สึกงงๆ ว่าหยุดหัวเราะทำไม แต่พอเราหันไปทางประตู ปรากฏว่ามีคนไข้ตกค้างอยู่หนึ่งคนซึ่งเข้ามายืนเงียบๆ ในห้องนานแล้ว พออาจารย์ได้วินิจฉัยพบว่าคนไข้ท่านนั้นเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้ครูเคทย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดอาจารย์จิตวิทยาที่เคยบอกว่าเราจะสัมผัสความซึมเศร้าจากคนไข้ซึมเศร้าได้ก่อนที่จะได้พูดคุยกับคนไข้ด้วยซ้ำไป แสดงว่าในตอนนั้น ครูเคทกับอาจารย์หมอสัมผัสพลังซึมเศร้าของคนไข้ได้โดยไม่รู้ตัวและพลังนั้นขัดกับพลังเบิกบานที่เรากำลังหัวเราะกันอยู่ จึงเกิดการหยุดค้างแบบงงๆ

เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงมีประสบการณ์ตรงอย่างนี้ในครอบครัวอยู่แล้ว เช่น เวลาลูกกำลังหงุดหงิดแหกปากร้องไห้ พ่อแม่ก็จะเผลอหงุดหงิดหนักกว่าลูกเพราะกำลังกังวลว่าทำอย่างไรให้ลูกหยุดร้อง นั่นคือการรับส่งพลังงานระหว่างกันและกัน จึงทำให้พลังงานแห่งความโมโหทวีคูณขึ้นมากกว่าปกติ หรือ เวลาแฟนสาวน้อยใจร้องไห้ ฝ่ายชายรู้สึกกังวลใจไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะใจอยากปลอบให้เธอหยุดร้องไห้ พลังแห่งความกังวลใจของฝ่ายชายจะไปผสมกับพลังแห่งความน้อยใจเสียใจของฝ่ายหญิง ก็เลยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น และอาจมีตัดพ้อต่อว่าหนักขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น

ในกรณีที่ลูกเป็นเด็กไฮเปอร์ ซึ่งคลื่นสมองของเขาจะไม่เสถียรอยู่แล้ว คือ ตอนความถี่สูง เขาจะมีอาการกระวนกระวาย อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ต้องลุกเดินไปมา หยิบนู่นนี่ หรือบางคนก็จะพูดมาก ตอนที่ความถี่ต่ำ เขาจะง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งพฤติกรรมทั้งสองช่วงเป็นสิงที่พ่อแม่ไม่พึงประสงค์และพยายามจะจัดการให้กลับสู่พฤติกรรมปกติที่พ่อแม่ต้องการ แต่พ่อแม่ที่ไม่เข้าใจนอกจากจะจัดการไม่ได้แล้ว พลังความหงุดหงิดของพ่อแม่ที่จัดการกับพฤติกรรมของลูกไม่ได้ จะยิ่งถูกส่งต่อไปยังลูก ทำให้คลื่นสมองของลูกรวนหนักกว่าเดิม ที่อาละวาดร้องไห้โยเย ก็จะอาละวาดหนักกว่าเดิม ที่กำลังรู้สึกเสียใจ ก็จะเสียใจหนักกว่าเดิม

ดังนั้น เวลาพ่อแม่รับมือกับเด็กไฮเปอร์ สมาธิสั้น หรือแม้แต่เด็กปกติที่ทำพฤติกรรมที่พ่อแม่ไม่ต้องการ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ พ่อแม่ต้องปรับพลังของตัวเองก่อน รู้สึกตัวให้ไวก่อนว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด กำลังโมโห หรือ วิตกกังวล ฯลฯ จากนั้นค่อยๆ ปรับอารมณ์ของพ่อแม่ให้เป็นกลางก่อน แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับพฤติกรรมของลูกด้วยความเมตตา เทคนิคง่ายๆ ในการปรับอารมณ์พ่อแม่ก่อนที่จะดุลูกคือ การสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สัก 2-3 วินาที แล้วหายใจออกยาวๆ ทำซ้ำสัก 5-10 ครั้ง จนเห็นได้ชัดว่าอารมณ์พ่อแม่ดีขึ้น แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับปัญหาต่างๆ ของลูกด้วยความรักและเมตตา พร้อมที่จะให้อภัยลูก แล้วลองสังเกตว่าลูกจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างง่ายดายและไม่ยืดเยื้อค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ