Category: จิตวิทยา

ลูกทำอะไรไม่ได้แล้วเอาแต่ร้องไห้

มีคุณผู้อ่านรายหนึ่งอินบ็อกซ์เข้ามาในแฟนเพจ Kate Inspirer ขอปรึกษาครูเคทว่า “….น้องค่อนข้างจะเชื่อฟังแม่มาก ถ้าได้รับมอบหมายอะไรให้ทำ น้องจะร้องไห้ กลัวแม่ดุ เช่น ใช้ให้ไปหาของ ถ้าเขาหาไม่เจอ น้องจะไม่บอก แต่จะยืนร้องไห้ หรือแม่สั่งให้ท่องหนังสือหรือทำการบ้าน ถ้าทำไม่ได้ก็จะนิ่งแล้วร้องไห้ ถ้าคนพูดจาเสียงดัง พูดไม่เพราะหรือดุ น้องจะน้ำตาคลอทันที …กรณีอยู่นอกบ้าน ถ้าไม่มีพี่สาวหรือแม่อยู่ด้วย เขาจะประหม่า ทำอะไรเองไม่ได้ เช่น ปวดปัสสาวะหรือหิวน้ำ เขาจะไม่บอกใครที่เขาไม่รู้จัก แต่จะยืนร้องไห้อย่างเดียว เหมือนน้องไม่มีความมั่นใจในตัวเองเลยค่ะ..”

เด็กน้อยขี้แง น่าจะเป็นปัญหาที่พ่อแม่อาจจะมึนตึ้บไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะบางทีพ่อแม่ยังไม่ได้ดุ น้องก็ชิงร้องไห้เสียก่อนแล้ว เด็กที่เซนส์สิทีฟส่วนหนึ่งเป็นนิสัยที่มีมากับเขาตั้งแต่เกิด หรือบางคนอาจจะบอกว่าติดตัวมาแต่อดีตชาติ ดังจะเห็นได้ง่ายๆ ว่าพี่น้องท้องเดียวกัน หรือแม้แต่ฝาแฝด เกิดพร้อมกัน เลี้ยงดูมาเหมือนกัน แต่นิสัยต่างกัน แต่นอกจากนิสัยส่วนตัวที่มีมาแต่กำเนิดแล้ว สภาพแวดล้อมการเลี้ยงดูนั้นดูจะมีส่วนสำคัญในการกำหนดบุคลิกภาพของเด็กอย่างมาก การที่เกิดเป็นน้องก็อาจมีส่วน เพราะเด็กๆ จะมองเด็กคนอื่นๆ แล้วเทียบกับตัวเอง เช่น เมื่อเห็นพี่ทำได้ แต่ตัวเขาทำไม่ได้ เขาก็อาจจะรู้สึกด้อยกว่าได้ ท้งๆ ที่พ่อแม่อาจจะไม่ได้เปรียบเทียบอะไร ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะเขาไม่ได้เข้าใจว่าพี่อายุมากกว่าย่อมมีความสามารถสูงกว่า และที่สำคัญเขาไม่เคยเห็นพี่ของเขาต้องอายุเท่าเขาในวันนี้ ดังนั้นพ่อแม่ต้องระวังที่จะไม่เปรียบเทียบลูกๆ ทั้งตั้งใจและไม่ตั้งใจ

การชมเด็กเพื่อให้เกิดความเชื่อมั่นในตัวเองให้มากขึ้นก็เป็นสิ่งสำคัญ และเป็นศิลปะ พ่อแม่ส่วนใหญ่มักจะชมลูกด้วยคำพูดทั่วๆ ไป เช่น เก่งจัง เยี่ยมมาก แม่ภูมิใจในตัวหนูนะ ฯลฯ ซึ่งก็เป็นคำชมที่ได้ผลสำหรับเด็กทั่วไป แต่กรณีเด็กที่เซนส์สิทีฟหรือขาดความเชื่อมั่นในตนเองมาก พ่อแม่ต้องใช้คำชมที่ลงรายละเอียดให้เด็กได้เห็นคุณค่าในตัวเองด้วยค่ะ เช่น “ลูกระบายสีสวยจัง คุณแม่ชอบที่หนูระบายดอกไม้ด้วยสีแดงและสีชมพู ดูสดชื่นดีจัง… แล้วภูเขาสีน้ำเงินลูกนี้นี่ให้ความรู้สึกต่างจากภูเขาสีเขียวลูกนี้ยังไงคะ…” (คำถามเรื่องภูเขานี้จะช่วยให้เด็กได้แสดงความคิดเห็นของตัวเองออกมา พ่อแม่ควรรับฟังด้วยความสนอกสนใจ ไม่ต้องขัด หรืออธิบายหรือแก้ไขอะไร) กระบวนการชมโดยการพูดถึงรายละเอียดในสิ่งที่เด็กทำ รวมทั้งการเปิดโอกาสให้เด็กได้แสดงออกทางความคิดของเขา และได้เห็นว่าความคิดของเขามีคนรับฟังอย่างสนอกสนใจ และไม่ได้เป็นสิ่งที่ผิด จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นในตนเองให้กับเด็กมากขึ้น

กรณีการปรับตัวให้เข้ากับคนอื่น หรือการดูแลรับผิดชอบตัวเองเมื่ออยู่นอกบ้าน อย่างที่คุณผู้อ่านเล่ามาข้างต้น ผู้ใหญ่ควรสอนทักษะการช่วยเหลือตัวเอง การสังเกตความต้องการ และอารมณ์ของตัวเอง รวมถึงการวางใจในบุคคลที่พ่อแม่วางใจ และไม่วางใจบุคคลแปลกหน้า เช่น เมื่ออยู่นอกบ้านกับญาติที่ไม่ใช่พ่อแม่และพี่สาว พ่อแม่ควรบอกเด็กว่ามีอะไรหรือต้องการอะไรให้บอกญาติคนนั้นได้เลย หากลูกปวดปัสสาวะให้บอกผู้ใหญ่ที่พ่อแม่ให้ไปด้วยว่าให้พาไปห้องน้ำ เป็นต้น ทักษะทางสังคมนี้เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องสอน อย่าเหมารวมว่าเด็กทุกคนควรจะปรับตัวได้เอง เด็กบางคนมีความวิตกจริตน้อย ก็จะดูเก่งกาจช่วยเหลือตัวเองได้ดี แต่เด็กที่วิตกจริตมาก พ่อแม่ต้องสอนทักษะการคุยกับคนเพื่อบอกความต้องการของตัวเอง หรือกรณีที่เด็กไปกับพ่อแม่ เมื่ออยากเข้าห้องน้ำ ให้เด็กลองมองหาป้ายบอกทางไปห้องน้ำ แล้วเดินไปด้วยกัน ไปถึงอาจจะให้เด็กเข้าห้องน้ำเอง (หากช่วยเหลือตัวเองได้พอสมควร) โดยผู้ปกครองยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องน้ำ เป็นต้น เมื่อเด็กทำได้ดี ให้ชมและบอกว่าหากเด็กมากับญาติพี่น้องคนอื่น ก็ให้ทำอย่างเดียวกัน คือ หาป้ายห้องน้ำ และให้ผู้ใหญ่พามา แล้วบอกให้ผู้ใหญ่ยืนอยู่หน้าประตูห้องน้ำ ฯลฯ อย่างนี้เด็กจะค่อยๆ มองเห็นความสามารถของตัวเองมากขึ้น และเห็นว่าไม่ใช่เรื่องทุกเรื่องที่จะต้องถูกตัดสินผลลัพธ์โดยคนอื่นว่า

เสร็จ หรือถูก หรือดี หรือไม่ พ่อแม่ควรทำให้ทุกเรื่องเป็นความสนุกสนานในการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ของเด็ก ไม่ใช่การที่เด็กต้องทำอะไรเพื่อผลลัพธ์ค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

น้อยใจพ่อแม่ชอบใส่อารมณ์กับลูก

มีคุณผู้อ่านรายหนึ่งอินบ็อกซ์เข้ามาในแฟนเพจ Kate Inspirer ขอปรึกษาครูเคทว่า “…ขอคำแนะนำหน่อยครับ คือผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า รู้สึกว่าพ่อแม่ทำไมถึงทำกับผมอย่างงี้ คือพ่อแม่ไม่ค่อยจะให้กำลังใจ ไม่ค่อยจะรับฟังเหตุผลจากผมเลย พูดไม่ให้ความหวังผม เลยชอบพูดต่อว่าผมให้คนอื่นเห็นตลอด แล้วเวลาสอนผมก็จะใช้อารมณ์ในการสอน ไม่ค่อยจะให้อิสระกับผมเลย ผมควรจะทำอย่างไรดีให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นคับผมเริ่มรู้สึกจะทนไม่ไหวแล้วคับ…”

ถ้าจะแก้ปัญหาพ่อแม่ลูก เราลองมาทำความเข้าใจมุมมองและความรู้สึกนึกคิดของแต่ละฝ่ายกันก่อนดีกว่า

การที่พ่อแม่ไม่รับฟังเหตุผลจากลูกนั้น อาจเกิดจากอัตตาหรือการยึดถือว่าตนเองเป็นพ่อเป็นแม่ มีประสบการณ์มากกว่าลูก ความคิดของพ่อแม่จะถูกต้องดีงามกว่าของลูก เพราะมองว่าลูกอ่อนประสบการณ์กว่า แต่ในความเป็นจริงที่พ่อแม่มักไม่รู้ตัวก็คือ พ่อแม่ที่มีความวิตกกังวล มีความกลัวทั้งที่รู้ตัวและที่ไม่รู้ตัว มักจะสร้างกำแพงขึ้นปกป้องตัวเองและครอบคลุมไปถึงลูก กำแพงนี้ก็คืออัตตา ความยึดถือในความเชื่อของตนเองนั่นเอง พ่อแม่ที่ขี้กลัว ขี้กังวล จะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ชอบเซอร์ไพรส์ ไม่ชอบอะไรที่คาดเดาไม่ได้ ดังนั้นการที่ลูกเสนอความคิดเห็น ความกลัวของพ่อแม่จึงทำให้พ่อแม่ไม่รับฟัง ทั้งๆ ที่บางทียังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกจะพูดว่าอะไร พ่อแม่ที่ชอบตีกรอบลูกมากเกินไปก็คือพ่อแม่ที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ตนควบคุมไม่ได้นั่นเอง

พ่อแม่ที่ชอบพูดจาแรงๆ ชอบตำหนิติเตียนลูก และชอบเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น อาจเป็นเพราะขาดต้นแบบที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนสมัยก่อนมีคำกล่าวว่า อย่าชมลูกเดี๋ยวจะเหลิง ประกอบกับพ่อแม่บางส่วนก็เติบโตมาพร้อมกับบรรยากาศอย่างนี้ภายในบ้าน คือไม่ชม แต่ด่าหรือประชดแทน ดังนั้นเมื่อพ่อแม่มีลูกของตัวเอง จะชมลูกบางคนก็รู้สึกทำไม่เป็น เขิน หรืออะไรก็ตามที่ผุดขึ้นในใจ คำชื่นชมจึงเผลอหลุดออกมาเป็นคำพูดเหน็บแนมเสียดสีเสียเป็นส่วนใหญ่


ไทยรัฐโพล

คุณสนใจที่จะลองผลิตภัณฑ์เสริมโภชนาการเพื่อรองรับปัญหาสุขภาพสำหรับผู้สูงอายุหรือไม่

สนใจมากสนใจปานกลางไม่ค่อยสนใจไม่สนใจเลย

https://www.google.com/recaptcha/api2/anchor?ar=1&k=6LcokawgAAAAAARJIuEgpoaH-N1hbr7quLKYTJO9&co=aHR0cHM6Ly93d3cudGhhaXJhdGguY28udGg6NDQz&hl=en&type=image&v=V6_85qpc2Xf2sbe3xTnRte7m&theme=light&size=invisible&badge=bottomright&cb=j9y92qfbxkv3

การเก็บรวบรวมข้อมูลนี้นำไปใช้เพื่อ กิจกรรมทางการตลาดโดยยึดหลัก ปฏิบัติตามนโยบายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

มีคุณผู้อ่านรายหนึ่งอินบ็อกซ์เข้ามาในแฟนเพจ Kate Inspirer ขอปรึกษาครูเคทว่า “…ขอคำแนะนำหน่อยครับ คือผมรู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่า รู้สึกว่าพ่อแม่ทำไมถึงทำกับผมอย่างงี้ คือพ่อแม่ไม่ค่อยจะให้กำลังใจ ไม่ค่อยจะรับฟังเหตุผลจากผมเลย พูดไม่ให้ความหวังผม เลยชอบพูดต่อว่าผมให้คนอื่นเห็นตลอด แล้วเวลาสอนผมก็จะใช้อารมณ์ในการสอน ไม่ค่อยจะให้อิสระกับผมเลย ผมควรจะทำอย่างไรดีให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้นคับผมเริ่มรู้สึกจะทนไม่ไหวแล้วคับ…”

ถ้าจะแก้ปัญหาพ่อแม่ลูก เราลองมาทำความเข้าใจมุมมองและความรู้สึกนึกคิดของแต่ละฝ่ายกันก่อนดีกว่า

การที่พ่อแม่ไม่รับฟังเหตุผลจากลูกนั้น อาจเกิดจากอัตตาหรือการยึดถือว่าตนเองเป็นพ่อเป็นแม่ มีประสบการณ์มากกว่าลูก ความคิดของพ่อแม่จะถูกต้องดีงามกว่าของลูก เพราะมองว่าลูกอ่อนประสบการณ์กว่า แต่ในความเป็นจริงที่พ่อแม่มักไม่รู้ตัวก็คือ พ่อแม่ที่มีความวิตกกังวล มีความกลัวทั้งที่รู้ตัวและที่ไม่รู้ตัว มักจะสร้างกำแพงขึ้นปกป้องตัวเองและครอบคลุมไปถึงลูก กำแพงนี้ก็คืออัตตา ความยึดถือในความเชื่อของตนเองนั่นเอง พ่อแม่ที่ขี้กลัว ขี้กังวล จะไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ไม่ชอบเซอร์ไพรส์ ไม่ชอบอะไรที่คาดเดาไม่ได้ ดังนั้นการที่ลูกเสนอความคิดเห็น ความกลัวของพ่อแม่จึงทำให้พ่อแม่ไม่รับฟัง ทั้งๆ ที่บางทียังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าลูกจะพูดว่าอะไร พ่อแม่ที่ชอบตีกรอบลูกมากเกินไปก็คือพ่อแม่ที่ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่ตนควบคุมไม่ได้นั่นเอง

พ่อแม่ที่ชอบพูดจาแรงๆ ชอบตำหนิติเตียนลูก และชอบเปรียบเทียบลูกกับคนอื่น อาจเป็นเพราะขาดต้นแบบที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนสมัยก่อนมีคำกล่าวว่า อย่าชมลูกเดี๋ยวจะเหลิง ประกอบกับพ่อแม่บางส่วนก็เติบโตมาพร้อมกับบรรยากาศอย่างนี้ภายในบ้าน คือไม่ชม แต่ด่าหรือประชดแทน ดังนั้นเมื่อพ่อแม่มีลูกของตัวเอง จะชมลูกบางคนก็รู้สึกทำไม่เป็น เขิน หรืออะไรก็ตามที่ผุดขึ้นในใจ คำชื่นชมจึงเผลอหลุดออกมาเป็นคำพูดเหน็บแนมเสียดสีเสียเป็นส่วนใหญ่

พ่อแม่บางคนชอบเปรียบเทียบลูกตัวเองกับคนอื่น หรือตำหนิลูกต่อหน้าคนอื่น อาจเป็นเพราะพ่อแม่รู้สึกด้อยกว่าคนอื่น หรือไม่มั่นใจในตนเอง (ลูกก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของตนเอง) จึงเผลอเปรียบเทียบตัวเองและลูกของตัวเองกับคนอื่นอยู่บ่อยๆ พฤติกรรมอย่างนี้ของพ่อแม่จะทิ้งรอยแผลเป็นไว้ในใจลูกยาวนาน และลูกจะเติบโตเป็นคนไม่เชื่อมั่นในตนเอง รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า หรือแม้แต่กลายเป็นคนมองโลกในแง่ร้าย ขี้อิจฉาก็เป็นได้

พ่อแม่บางคนอาจคาดหวังจะให้ลูกทำในสิ่งที่พวกเขาทำไม่สำเร็จค่ะ พ่อแม่ที่เรียนไม่เก่งก็อยากให้ลูกเรียนเก่ง พ่อแม่ที่รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวก็อยากให้ลูกประสบความสําเร็จ พ่อแม่ที่เคยลำบากก็อยากให้ลูกสุขสบาย พ่อแม่ที่เคยถูกกดขี่หรือไร้อำนาจก็อยากให้ลูกเป็นเจ้าคนนายคน เป็นเรื่องปกติในทุกครอบครัว แต่พ่อแม่ที่มีความกลัวหรือมีความบอบช้ำทางใจจากอดีตมากกว่าปกติ จึงคาดหวังลูกมากกว่าปกติ

ส่วนลูกที่รู้สึกอึดอัดมักเกิดจากการที่เขาถูกควบคุมชีวิตจนเสมือนว่าเขาไม่ได้เป็นเจ้าของชีวิตของเขา ต้องทำตามพ่อแม่เพราะเขาอยากให้พ่อแม่รักเขา และด้วยที่เขาก็รักพ่อแม่ จึงทำตามพ่อแม่เพราะไม่อยากให้พ่อแม่เสียใจ แต่การที่คนเราต้องยอมทำตามคนอื่นอยู่ตลอดเวลาโดยไม่มีโอกาสเป็นตัวของตัวเองก็ก่อให้เกิดความรู้สึกอึดอัดอย่างนี้แหละค่ะ ยิ่งลูกที่ถูกตีกรอบอายุมากขึ้น เขายิ่งอยากค้นหาตัวตนของเขาที่เป็นตัวตนของเขาอย่างแท้จริง ไม่ใช่ตัวตนที่พ่อแม่ปั้นให้เป็น แต่เขาไม่มีโอกาสแสดงออก แม้แต่คำพูดก็ยังไม่มีใครฟังเขา เมื่อเป็นอย่างนี้ความอึดอัดก็จะทวีมากขึ้นจนเกิดเป็นพฤติกรรมที่ไม่มีใครอยากให้เป็น เช่น ก้าวร้าว รุนแรง หรือ เก็บกด ซึมเศร้า หมดแรงจูงใจในการดำเนินชีวิต

คำแนะนำสำหรับคุณผู้อ่านที่ถามมาก็คือ ทำความเข้าใจเราคงแก้ปัญหาให้พ่อแม่ไม่ได้ค่ะ พ่อแม่ต้องแก้ไขตัวเองเมื่อเขาเห็นว่าเป็นปัญหาที่ต้องแก้ ถ้าพ่อแม่ไม่เห็นปัญหา หรือเห็นแต่นั่งทับเอาไว้ เราก็ต้องทำความเข้าใจสิ่งที่อยู่ในใจพ่อแม่ และยอมรับ เช่น พ่อแม่ใส่อารมณ์กับเราโดยไม่มีเหตุผล ก็ขอให้เข้าใจว่าพ่อแม่มีปมปัญหาในใจที่เขาไม่รู้ตัว และเขาไม่รู้วิธีการที่จะจัดการกับอารมณ์ของเขา เราลองเมตตาพ่อแม่ของเราบ้าง เพราะอย่างไรพ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดาที่มีปัญหาเหมือนกับคนทั่วไป ถ้าเราเข้าใจความรู้สึกเบื้องลึกของพ่อแม่ได้ เราก็จะไม่โกรธ ไม่น้อยใจพ่อแม่ค่ะ

สิ่งที่เราทำได้เพื่อแก้ปัญหาให้ตัวเองคือการรู้จักตัวเอง เข้าใจความต้องการ ความรู้สึก ความสามารถของตัวเองให้ดี แล้วพัฒนาตัวเองเพื่อตัวเองค่ะ ไม่ใช่เพื่อคนอื่น หมั่นเมตตาตัวเองเมื่อทำผิดพลาดไป ลุกขึ้นแก้ไขปัญหาให้ถูกต้อง อย่าเสียเวลาโทษตัวเองหรือดูถูกตัวเอง มองความสามารถของตัวเองในการแก้ไขปัญหา ไม่ใช่มองผลลัพธ์ที่ล้มเหลว มองให้เห็นทักษะเชิงบวกและพัฒนาการของตัวเอง โดยไม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น อย่างนี้ก็จะสามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณค่าและมีความสุขได้ค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

เมื่อต้องทนกับคนแก่บ้ากามในบ้าน

มีคุณผู้อ่านรายหนึ่งอินบ็อกซ์เข้ามาในแฟนเพจ Kate Inspirer ขอปรึกษาครูเคทถึงการที่ต้องอยู่ร่วมบ้านกับคุณพ่อที่อายุแปดสิบกว่าแล้ว แต่มีพฤติกรรมคุกคามทางเพศคนในบ้านมาตั้งแต่หนุ่มๆ ว่า “…พ่อเป็นคนอารมณ์ร้อนมาก ถึงมากที่สุด ชอบพูดแต่เรื่องเพศ ซึ่งหนูเองมีลูกสาว 3 คน กำลังเป็นวัยรุ่น ลูกไม่ชอบการกระทำและคำพูดหลายๆ อย่างที่ตาทำ เลยค่อนข้างแอนตี้ ครอบครัวเกิดความแตกแยก ไม่ชอบตา หนูเป็นคนกลาง เครียดมาก รู้สึกว่าตัวเองไม่ชอบพ่อ แต่อยู่ดูแลทุกวันนี้เพราะหน้าที่ หนูกลัวความคิดของตัวเองจะเตลิดไปมากกว่านี้ หนูควรทำอย่างไรกับสิ่งที่เป็นอยู่ตอนนี้ดีคะ…”

กรณีที่ถามมานี้ เป็นปัญหาของพ่อที่มีอารมณ์เก็บกดและไม่สามารถควบคุมอารมณ์และความต้องการของตัวเองได้ ปัญหานี้สะสมมาตั้งแต่วัยเด็กจากครอบครัวพื้นฐาน อาจมีสาเหตุจากการถูกกดขี่จากคนในบ้านตั้งแต่เด็ก จึงแสดงออกทางอารมณ์ที่ก้าวร้าวเพื่อเป็นกลไกปกป้องตัวเอง แต่พอทำไปเรื่อยๆ คนในบ้านไม่กล้าหือ เด็กก็จะเรียนรู้ว่าอยากให้ใครยอมตนก็ต้องใช้ความรุนแรงใส่คนอื่น ส่วนพฤติกรรมทางเพศที่ผิดปกติ เช่น การข่มขืนหรือพูดจาลามกใส่ลูกหลานและคนในครอบครัว เป็นพฤติกรรมที่เกิดจากปัญหาในใจที่สะสมมานานมาก และแสดงออกมาเพื่อใช้ควบคุมผู้อื่นที่อ่อนแอกว่า แต่ก็มีบางกรณีที่เกิดจากโรคที่เกิดความผิดปกติในสมอง เช่น ลมชัก หรือ จิตเภท แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไร เหยื่อคือลูกหลานในบ้าน ต้องทนทุกข์ทรมานใจจากการกระทำวิปริตของคนที่ตัวเองไว้ใจ ทำให้รู้สึกว่าตัวเองไร้ค่า ไม่สามารถเชื่อใจใครได้อีกต่อไป

ดังนั้น ในกรณีที่คุณผู้อ่านถามมา การแก้ไขปัญหาจึงควรเน้นที่ลูกหลานในครอบครัว มากกว่าคนแก่บ้ากาม หากสามารถนำผู้ป่วยไปพบจิตแพทย์ได้ ก็ควรรีบทำ หากผู้ป่วยไม่ร่วมมือ อาจหลอกล่อให้ไปพบจิตแพทย์ โดยอ้างถึงโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองที่เป็นอยู่ เช่น ความจำลดน้อยลง หรือกรณีที่คุณผู้อ่านเล่ามาว่าคุณพ่อกังวลเรื่องนกเขาไม่ขัน ก็ถือว่าเข้าทางที่จะพามาพบจิตแพทย์ได้ แต่การป้องกันไม่ให้เกิดปัญหากับลูกหลานอีก เป็นเรื่องสำคัญกว่า ดังนั้น อาจพิจารณาแยกให้ผู้ป่วยไปอยู่บ้านลูกหลานผู้ชายหรือลูกหลานที่เป็นผู้ใหญ่แล้ว หรือแยกบริเวณให้เป็นสัดส่วน แล้วหาผู้ดูแลผู้ป่วยที่เหมาะสมมาดูแล เพราะหากยังอยู่ในบริเวณเดียวกัน โอกาสที่ลูกหลานที่เป็นหญิงจะพลาดท่าถูกกระทำชำเราทางวาจาหรือทางกายจะมีมาก ทุกคนในบ้านควรแสดงอำนาจเหนือผู้ป่วย ด้วยการห้ามทันทีที่ผู้ป่วยแสดงพฤติกรรมที่ไม่สมควรออกมา อย่ามัวแต่กลัวหรือเกลียด เพราะควากลัวจะทำให้เขาสมใจว่าเขามีอำนาจเหนือเรา สามารถทำโทษอย่างเบาเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ เช่น บอกไปเลยว่าไม่มีใครชอบพฤติกรรมอย่างนี้ หากยังทำอย่างนี้อีกจะกักบริเวณ จะไม่ให้ทานหรือทำอะไรที่เขาชอบ จะให้ไปอยู่ที่อื่น จะนำเรื่องไปบอกให้ผู้อื่นทราบ หรือจะแจ้งความดำเนินคดี ฯลฯ นอกจากนี้ ควรหากิจกรรมให้คนแก่บ้ากามทำ เพื่อไม่ให้หมกมุ่นอยู่แต่เรื่องเพศ เช่น การออกกำลังกาย การนั่งสมาธิ การทำสวน ทำงานบ้าน เป็นต้น

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ซึมเศร้า ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

ครอบครัวที่พูดจากันดีๆ ไม่ได้

มีคุณผู้อ่านรายหนึ่งอินบ็อกซ์เข้ามาในแฟนเพจ Kate Inspirer ขอปรึกษาครูเคทว่า “…โดนครอบครัวคาดหวังบอกให้ตั้งใจเรียนทำคะแนนให้ได้เยอะ พอทำได้ก็โดนว่าทำได้แค่นี้เองเหรอ ดูอย่างคนอื่นสิเค้าทำได้ดีกว่าตั้งเยอะ พ่อแม่ทะเลาะกันบ่อย เวลาแม่อยากได้อะไรก็ให้หนูไปขอพ่อ ขอไม่ได้ก็โดนด่า ตายายก็ทะเลาะกับลุงบ่อย พี่ชายกับพี่สะใภ้ก็ทะเลาะกันแทบจะทุกวัน หนูก็มีโรคประจำตัวพอไปโรงเรียนก็โดนเพื่อนว่า โดนเพื่อนล้อจนไม่อยากไปเรียน ร้องไห้คนเดียวทุกวันไม่มีใครสนใจเลย รู้สึกไร้ค่ามากเหมือนไม่มีตัวตน ยิ่งเวลาที่คนในบ้านทะเลาะยิ่งทำให้เหมือนเราไม่เคยอยู่ในสายตาของเขาเลย ช่วงนี้เวลาเครียดจะชอบทำร้ายตัวเอง ด่าว่าตัวเอง โทษตัวเอง นอนร้องไห้ทุกคืน…”

พ่อแม่ที่ตั้งความคาดหวังกับลูกให้เป็นคนเก่ง คนดี และมีความสุข เป็นเรื่องปกติของทุกครอบครัว แต่บางกรณี ความคาดหวังอาจจะมากไปสักนิด ซึ่งอาจมาจากประสบการณ์ชีวิตของพ่อแม่ที่เคยถูกคนสบประมาท หรือพ่อแม่เปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นมากไปแล้วรู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่า เมื่อรู้สึกว่าด้อยกว่าคนอื่น ก็เก็บความรู้สึกไม่ชอบไม่พอใจไว้ลึกๆ และเผลอนำความต้องการนี้มาครอบที่ลูก เหมือนกับว่าอยากให้ลูกเก่งกว่าดีกว่าคนอื่น จะได้ลบปมในใจพ่อแม่ นอกจากนี้ พ่อแม่ส่วนใหญ่อาจไม่เคยได้รับคำชมหรือคำให้กำลังใจแบบดีๆ อาจเคยได้รับแต่กำลังใจหรือคำชมในลักษณะนี้ คือ ยังไม่ดีพอ ก็เลยทำอย่างนี้กับลูกของตัวเองโดยไม่รู้ตัว

กรณีครอบครัวที่มีบรรยากาศทะเลาะเบาะแว้ง ทำให้ทุกคนในครอบครัวเครียด และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร แสดงว่าสมาชิกในครอบครัวขาดทักษะในการสื่อสารความรู้สึกและความต้องการของตัวเองออกมาเป็นคำพูดดีๆ จึงกระแทกอารมณ์ออกมาเป็นคำพูดประชดประชัน หรือด่าทอ สบประมาท การแก้ไขทุกคนต้องตั้งใจฟังโดยไม่ต้องคิดปรุงแต่งต่อ ปล่อยให้คนที่เป็นปัญหาพูดออกมาบ้าง สมาชิกคนอื่นหัดฟังแต่เนื้อหา ไม่ต้องรับอารมณ์ของเขาเข้ามาทำร้ายตัวเอง แต่การฟังเนื้อหา ไม่ใช่สักแต่ฟัง หรือเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา แต่ฟังเพื่อให้เข้าใจว่าข้างในของคนคนนั้น เจ็บปวดหรืออึดอัดด้วยเรื่องอะไร เช่น ที่พ่อแม่คุณผู้อ่านที่ถามมาบอกว่า “ทำได้แค่นี้หรือ คนอื่นทำได้ดีกว่าตั้งเยอะ” คำพูดนี้พ่อแม่ไม่ได้ว่าลูกไม่เก่ง แต่การพูดว่าลูกเก่ง อาจทำให้พ่อแม่เจ็บปวดใจที่เขาไม่เคยทำได้ หรือไม่เคยได้รับคำชมลักษณะนี้มาก่อน พ่อแม่จึงพูดอย่างไม่รู้ตัวอย่างนี้

การที่พ่อแม่ไม่พูดกันตรงๆ แต่ใช้ลูกเป็นคนกลาง นั่นก็เป็นเพราะว่าทั้งคู่รู้สึกเจ็บปวด น้อยใจที่อีกฝ่ายไม่เข้าใจ ไม่เห็นคุณค่า ไม่ถูกรับฟัง พ่อแม่จึงไม่พูดกันตรงๆ ลูกไม่ควรถามว่าทำไมไม่บอกกันเอง แต่ควรถามพ่อแม่ว่ารู้สึกอย่างไรถ้าจะต้องพูดกันเอง การถามถึงความรู้สึกจะช่วยทำให้คนเราเริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยใส่ใจกับความรู้สึกของตัวเองและคนอื่น เพราะมันเจ็บปวด จึงพยายามไปใส่ใจที่เนื้อหาและเหตุผล ซึ่งไม่ได้ช่วยให้ความเจ็บปวดลดน้อยลง เพียงแต่ย้ายจุดโฟกัสจากความรู้สึกที่เจ็บปวด น้อยใจ ไปสู่เนื้อหาและเหตุผลเท่านั้น เรื่องราวและเหตุผลที่ต่างฝ่ายต่างยกขึ้นมาพูด จริงๆ แล้วเป็นเพียงกำแพงปกป้องตัวเอง เพื่อที่จะบอกตัวเองว่าฉันไม่ผิด เป็นกลไกป้องกันความเจ็บปวดแบบอัตโนมัติของครอบครัวที่มีแต่เรื่องทะเลาะกัน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีค่ะ

การจะแก้ปัญหาในครอบครัว ต้องช่วยให้ทุกคนได้เข้าใจความรู้สึกของตัวเอง ไม่ใช่มุ่งแก้ที่ปัญหาที่เกิดขึ้นรายวัน ฝึกการเป็นผู้ฟังที่ไม่มีอคติและไม่ปรุงแต่งต่อ (ว่าเขากำลังต่อว่าเรา) ฟังให้เข้าใจความรู้สึกของเขา จึงจะช่วยทุกคนได้ค่ะ สำหรับเราเอง ก็ขอให้มองตัวเองให้ชัด เข้าใจความรู้สึกของตัวเองให้ดี รู้ว่าความรู้สึกอะไรทำให้เราทำสิ่งนั้น เมื่อทำแล้วก็ขอให้ยอมรับความคิดและการกระทำของตัวเอง ถ้าผิดก็ยอมรับกับตัวเองว่าผิดและลงมือแก้ไข อย่าเผลอรับเอาคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นมาทำร้ายตัวเองค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

ไม่อยากเรียนตามที่พ่อแม่ต้องการ

มีน้องผู้อ่านเขียนมาปรึกษาครูเคทในแฟนเพจ kate inspirer ว่า “…ตอนนี้หนูเครียดมาก อยากจะปรึกษาปัญหาที่ว่าพ่อแม่อยากให้หนูเป็นหมอ แต่ดูเหมือนว่าหนูก็ไม่ได้ชอบทางนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าจะบอกพวกเขายังไงค่ะ…”

ก่อนที่จะตอบน้องว่าควรบอกคุณพ่อคุณแม่อย่างไร ขออธิบายให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจก่อนว่าอาชีพในยุคปัจจุบันนั้นมีมากมายกว่ายุคที่คุณพ่อคุณแม่ยังเรียนอยู่ และต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเรียนอะไร แน่นอนว่าในยุคนั้น หมอและวิศวกรเป็นอาชีพในฝันของทุกคน เพราะมองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี และมีเกียรติ แต่ในโลกปัจจุบันของเยาวชนคนรุ่นใหม่นั้น การทำงานประจำกินเงินเดือนดูจะห่างไกลจากความฝันของพวกเขาอยู่มาก เยาวชนในยุคนี้ต้องการงานที่มีอิสระ เป็นนายตัวเอง เพราะทั้งชีวิตเขาถูกผู้ใหญ่คอยชี้นำจนเขาไม่รู้แล้วว่าตัวของเขาเองชอบอะไรหรืออยากเป็นอะไรจริงๆ นอกจากนี้ การที่เยาวชนในยุคนี้ไม่ต้องการทำงานองค์กรใหญ่ๆ ก็เพราะกลัวการถูกตีกรอบ ถูกจับตามอง ถูกเปรียบเทียบ และถูกประเมินว่าเก่งไม่เก่ง ดีไม่ดี เหมือนกับที่เขาได้รับจากครอบครัว จึงทำให้เมื่อเรียนจบมา ก็ไม่อยากสมัครงานที่ใด แต่พยายามจะสร้างงานอิสระให้กับตัวเอง

การถูกชี้นำโดยที่พ่อแม่ผู้ปกครองตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจจะชี้นำ ทำให้น้องๆ หลายคนเกิดการกดข่มความฝันหรือถอดใจในการที่จะเดินตามความฝันของเขา และกลายเป็นคนที่ไม่มีความฝัน หรือไม่มี passion หรือแรงขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิตตามที่พวกเขาต้องการ ปัญหาที่ทั้งพ่อแม่และน้องๆ มาปรึกษาครูเคทบ่อยมากในปัจจุบันคือ ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร น่าเสียดายที่น้องๆ ในวัยเรียนนี้น่าจะเป็นวัยที่ควรสนอกสนใจเรียนรู้อะไรในเชิงลึกและกว้าง แต่ในยุคที่สังคมมีการแข่งขันสูง พ่อแม่ที่มีความวิตกกังวลต่ออนาคตของลูกมากเกินไป อาจเผลอครอบงำความคิดลูกโดยไม่รู้ตัว

บ้านใดที่ลูกๆ ตอบไม่ได้ว่าจะเรียนอะไร จะทำอะไร ขอให้ลองถอยกลับมามองดูว่าการเลี้ยงดูลูกๆ ที่ผ่านมา เคยได้ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสอยู่กับตัวเอง ค้นหาตัวเองบ้างหรือไม่ หรือทุกอย่างถูกคิดถูกจัดตาราง ถูกป้องกันปัญหาไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว ลูกเคยได้ลองผิดลองถูกบ้างหรือไม่ ลูกได้เคยล้มเหลวแล้วลุกขึ้นเองโดยพ่อแม่ไม่ต้องช่วยบ้างหรือไม่ บางบ้านมักบอกว่าไม่เคยครอบงำ ให้ลูกตัดสินใจอะไรเอง แต่พ่อแม่เป็นคนชี้นำทางเลือกให้ลูกเลือกเอง หรือคอยประเมินการกระทำของลูกอยู่เสมอหรือไม่ หรือไม่ได้ฟังการตัดสินใจของลูกด้วยความเคารพในมุมมองของลูก แต่เผลอฟังด้วยความวิตกกังวลหรือไม่ บางทีปฏิกิริยาของพ่อแม่ที่มีต่อการตัดสินใจของลูก อาจทำให้ลูกกลัวที่จะบอกหรือปรึกษาอะไรกับพ่อแม่ เหมือนอย่างในกรณีน้องผู้อ่านที่เขียนมาถามนี้ก็ได้

ข้อแนะนำในการพูดคุยเรื่องสำคัญระหว่างพ่อแม่ลูกคือ แทนที่ต่างคนต่างพูดความต้องการและจุดยืนของตัวเอง พร้อมทั้งคำอธิบาย เหตุผลต่างๆ นานาเพื่อที่จะจูงใจให้อีกฝ่ายเชื่อหรือยอมตาม แต่ละฝ่ายควรพูดถึงความวิตกกังวลของตนเองออกมาให้ทุกคนเข้าใจด้วย เพื่อที่การสนทนาจะครอบคลุมถึงการช่วยการแก้ปัญหาหรือลดความวิตกกังวลของกันและกัน ไม่ใช่การเอาชนะให้ได้ตามจุดยืนของตัวเอง เช่น น้องที่ไม่อยากเป็นหมอ ควรพูดถึงความรู้สึกหรือความกังวลของตัวเองหากต้องเป็นหมอ (ไม่ใช่พูดว่าตัวเองไม่ชอบเป็นหมอ แต่อยากเป็นอย่างอื่น อาชีพที่อยากเป็นให้พูดในภายหลัง) ส่วนพ่อแม่ก็ควรพูดถึงความกังวลของตัวเองในการที่ลูกไม่ได้เป็นหมอ (ไม่ใช่พูดว่าทำไมลูกควรเป็นหมอ) ฟังดูอาจจะงงๆ บ้าง เพราะเราไม่เคยชินที่จะพูดในมุมที่เราไม่เคยมอง แต่ลองดูเถอะค่ะ แล้วจะแฮปปี้เอนดิ้งทั้งพ่อแม่ลูก

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

ลูกแอบดูคลิปโป๊ทำอย่างไรดี

ช่วงนี้มีคุณผู้อ่านอินบ็อกซ์เข้ามาในเพจ kate inspirer เล่าว่าลูกชายวัยเริ่มรุ่นแอบดูคลิปโป๊จะทำอย่างไรดี ก่อนอื่นพ่อแม่ผู้ปกครองอย่าคิดว่าเราสอนเรื่องเพศกับลูกไม่ได้ หรือการสอนเพศศึกษาเป็นเรื่องน่าอาย กระดากปาก หรือกลัวว่าจะเป็นการส่งเสริมลูกให้หมกมุ่นในเรื่องเพศ หลายครอบครัวโบ้ยให้เป็นหน้าที่ครูที่โรงเรียน ความจริงพ่อแม่มีหน้าที่สอนลูกถึงการดำเนินชีวิตพื้นฐาน “กิน ขี้ ปี้ นอน” (ขออภัยที่ใช้คำไม่สุภาพ) ดังนั้น พ่อแม่สามารถสอนลูกเรื่องเพศ เหมือนการสอนเรื่องต่างๆ ได้ อะไรรู้ก็บอก อะไรไม่รู้ก็ไปหาข้อมูลมาสนทนา สอนเพื่อให้ลูกฝึกหาคำตอบและฝึกคิดด้วยตัวเอง

การสอนเด็กเล็ก เริ่มสอนให้เขาเข้าใจตนเองว่าเป็นเด็กผู้หญิงหรือชาย สอนความแตกต่างของเด็กผู้หญิงกับเด็กผู้ชาย ห้องน้ำหญิงกับชายต้องแยกกันเพราะวิธีการฉี่ไม่เหมือนกัน การรักษาความสะอาด หรือ หนูเกิดมาเพราะพ่อแม่รักกันแล้วหนูก็เกิดขึ้นมาในท้องแม่ พอหนูตัวใหญ่แล้ว หนูก็ออกมาทางก้นแม่ (ถ้าโตหน่อยก็บอกว่าออกมาจากช่องคลอดได้ค่ะ) นอกจากนี้ ควรสอนถึงการปกป้องตัวเองไม่ให้ใครมาคุกคามทางเพศได้ เช่น การปกปิดของสงวนไม่ให้ใครเห็น และไม่ให้ใครมาจับ ถ้ามีอะไรที่ไม่ชอบมาพากลให้บอกพ่อแม่ สอนว่าไม่ว่าใครจะขู่อย่างไร ให้ลูกมั่นใจว่าพ่อแม่มีวิธีจัดการกับคนไม่น่ารักหรือคนไม่ดีนั้น ฯลฯ

กรณีเด็กมัธยม อาจเริ่มสอนจากหนังหรือละคร ชวนคุยถึงเรื่องการแต่งกาย คำพูด พฤติกรรมที่เหมาะสมหรือไม่เหมาะสมของตัวละครต่างๆ สาเหตุที่ตัวละครแต่ละคนพูดหรือทำอย่างนั้น พร้อมทั้งชวนคุยว่าหากลูกอยู่ในสถานการณ์อย่างในละคร ลูกจะทำเหมือนหรือแตกต่างจากตัวละครอย่างไร วิเคราะห์ว่าตัวละครรู้สึกอย่างไรจึงพูดหรือทำอย่างนั้น พูดคุยถึงวิธีการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนเพศเดียวกันและต่างเพศ การรักษาความสัมพันธ์ที่ดี การจีบหรือคบกันอย่างเหมาะสม การวางตัวและการเอาตัวรอดในความสัมพันธ์กับเพื่อนต่างเพศ การยอมรับและให้เกียรติเพศสภาพที่แตกต่างกัน

เด็กที่เริ่มสนใจเรื่องเพศสัมพันธ์หรือมีแฟน อย่าสอนว่าเพศเป็นเรื่องน่าอายและผิดบาป เพราะจะส่งผลต่อการสร้างความสัมพันธ์กับคนรักในอนาคต บางคนถึงขั้นเกลียดกลัวการมีแฟนหรือการมีเพศสัมพันธ์ไปเลย และกลายเป็นปมฝังลึกลงไปอีก กรณีที่ยกมาคุยในตอนนี้ เมื่อเด็กดูคลิปโป๊ อย่าเพิ่งดุด่าว่ากล่าว อาจสอนว่าสิ่งที่เห็นในคลิปเป็นการแสดงที่เว่อร์กว่าปกติ สอนการรู้ทันสื่อต่างๆ หรืออาจถามว่าดูแล้วรู้สึกอย่างไร ถ้าลูกตอบว่าดูแล้วรู้สึกซู่ซ่าหรือคึกคัก พ่อแม่ควรสอนว่าเป็นความรู้สึกปกติของคนที่ได้รับสิ่งเร้า และควรสอนเรื่องการจัดการอารมณ์ทางเพศของตัวเอง สอนการวางตัวเมื่ออยู่กับเพื่อนเพศตรงข้ามหรือคนรัก สอนว่าอารมณ์ทางเพศจะนำไปสู่อะไร และอาจนำมาซึ่งปัญหาอะไรบ้าง เช่น การตั้งครรภ์ก่อนวัยอันคววร การถูกผู้หญิงที่ตั้งครรภ์นำมาเป็นเครื่องมือต่อรอง การมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย ฯลฯ ขณะพูดคุยพ่อแม่ควรคุยปกติสนุกสนาน อย่าทำให้กลายเป็นการสั่งสอนอย่างจริงจัง ลูกจะอายหรือรู้สึกอึดอัดและไม่อยากคุยกับพ่อแม่เรื่องนี้อีก

ที่สำคัญ หากพ่อแม่ลูกมีความสนิทสนมใกล้ชิด และมีการทำกิจกรรมหรือพูดคุยกันอยู่เป็นประจำ ลูกก็จะไม่หมกมุ่นเรื่องเพศจนเกินไป เพศเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต แต่ไม่ใช่สิ่งที่สำคัญที่สุดของชีวิต เด็กในวัยเรียนหากมีความสนใจในเรื่องใดอย่างจริงจัง และพ่อแม่สนับสนุน เช่น เรื่องเรียน กีฬา ดนตรี ศิลปะ กิจกรรมต่างๆ พวกเขาจะเติบโตเป็นวัยรุ่นที่ดีมีความสุข และไม่หมกมุ่นทางเพศจนเกินไปค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ.

กรีดข้อมือทำไม?

วันก่อนมีคุณผู้อ่านท่านหนึ่งพาลูกวัยรุ่นมัธยมต้นมารับคำปรึกษากับครูเคท เพราะลูกเครียดจัดและกรีดข้อมือที่โรงเรียน โชคดีที่แผลไม่ลึก เมื่อได้พูดคุยกัน น้องบอกว่ารู้สึกเครียดมาก ทั้งเรื่องเรียน เรื่องเพื่อน และเรื่องพ่อแม่ ได้คุยกับเพื่อนถึงความเครียด แต่เพื่อนๆ ไม่เข้าใจและบอกว่าเรื่องเล็กน้อย อย่าเก็บไปเครียดเลย ทำให้ข้างในใจน้องยิ่งเครียดมากขึ้น เพราะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกของตน ประกอบกับเมื่อสัปดาห์ก่อน มีเพื่อนคนหนึ่งเครียดเรื่องแฟนและได้กรีดข้อมือตัวเองเช่นกัน น้องเลยลองกรีดดูบ้าง เมื่อกรีดแล้ว น้องบอกว่ารู้สึกดีขึ้น ความเครียดลดลง

พฤติกรรมทำร้ายตัวเองของมนุษย์ คนที่ไม่เข้าใจก็มักจะมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่มีเหตุผล บางส่วนก็มองว่าคนที่ทำ ทำไปเพราะต้องการเรียกร้องความสนใจ แต่จริงๆ แล้วเป็นความเจ็บปวดภายในใจที่มักจะเกิดสะสมมาจนถึงจุดที่เรียกว่าน้ำล้นแก้ว แต่คนคนนั้นอาจไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นในใจของตน เพราะเรื่องที่กระตุ้นให้ต้องทำร้ายตัวเองอาจเป็นเรื่องเล็กๆ ก็ได้ แต่ความเจ็บปวดสะสมฝังใจข้างในมันมากจนพร้อมระเบิด บางคนรู้สึกเจ็บปวดแต่อธิบายเป็นคำพูดไม่ได้แค่รู้สึกเจ็บลึกๆ หรืออึดอัด เมื่อไม่รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันคืออะไรและไม่รู้ว่าจะจัดการกับความรู้สึกนั้นอย่างไร จึงเริ่มทำร้ายตัวเองด้วยการจิก กัด ทุบตี กรีด ฯลฯ เพื่อทำให้ความเจ็บปวดนั้นปรากฏออกมาบนร่างกายให้ตัวเองรับรู้ได้ และจิตของคนเรานั้น เมื่อเข้าใจว่าความรู้สึกที่เกิดอะไรขึ้นกับตัวเองคืออะไร จิตของเราจะทำการบำบัดตัวเองและคลายเครียดทันที เหมือนกับการที่เรากลุ้มใจ พอได้เข้าใจหรือคลิกกับเรื่องนั้นแล้ว เราก็จะหายเครียดได้ในทันที

บางคนไม่ได้ทำร้ายร่างกายตนเอง แต่มักทำร้ายจิตใจตนเองซ้ำๆ ด้วยการจมดิ่งอยู่ในปัญหาเดิมๆ ไม่ลุกขึ้นเปลี่ยนแปลง ไม่ใช่ว่าไม่เจ็บ แต่ความเจ็บปวดที่ได้จากปัญหานั้นๆ มันไม่เจ็บรุนแรงเหมือนความเจ็บปวดที่สะสมเอาไว้ จึงยอมที่จะเจ็บปวดใจซ้ำๆ ดีกว่าการเผชิญหน้ากับรากของความเจ็บปวด เช่น คนที่มีปมปัญหากับพ่อแม่ในวัยเด็กที่สะสมมาเป็นเวลานาน เมื่อโตขึ้นมักจะพาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์ที่เจ็บปวดกับคนรักและยอมเจ็บซ้ำๆ เพราะความเจ็บปวดจากคนรักยังพอสัมผัสได้ เข้าใจได้ แต่ความเจ็บปวดสะสมจากครอบครัวมันลึกมากจนไม่สามารถอธิบาย หรือเข้าใจได้ว่าคืออะไร และไม่อยากขุดขึ้นมาดูด้วย เพราะรู้ว่าจะเจ็บปวดมาก บางทีคนที่ยอมเจ็บปวดซ้ำในชีวิตปัจจุบัน อาจจะกำลังบำบัดตัวเองจากแผลลึกในอดีตโดยไม่รู้ตัวก็ได้

กลับมาดูกรณีของน้องที่พูดถึงข้างต้น สาเหตุที่น้องเครียดนั้นคือ การเรียนที่หนักเกินไป จนบริหารจัดการเวลาไม่ได้ จึงกังวลว่าจะถูกครูดุหรือตัดคะแนนที่ไม่ส่งงาน และยังกลัวพ่อแม่ว่า รวมทั้งมีปัญหากับเพื่อน ฯลฯ ฟังดูเหตุผลเหล่านี้เป็นเรื่องเครียดปกติที่เด็กมัธยมมักจะเจอ แต่อะไรทำให้น้องคนนี้มีความเครียดมากกว่าเด็กคนอื่นๆ เมื่อพูดคุยกับน้องจึงพบว่าแพทเทิร์นความคิดของน้องเป็นคนมองอะไรมุมเดียว และมักตีความทุกคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นว่าคนอื่นไม่ชอบตัวเอง จึงสะสมเป็นความเครียด เช่น น้องบอกว่าครูบอกว่าใครส่งงานไม่ครบครูจะบอกผู้ปกครอง ซึ่งเรื่องนี้น้องเครียดมากและคิดต่อไปว่าเพราะตัวเองส่งงานไม่ครบ ครูก็จะมีอคติกับตัวเองด้วย ตรรกะอย่างนี้เป็นตรรกะที่พังเพราะเจ้าตัว เพราะเห็นภาพมุมเดียว เมื่อสอบถามต่อ พบว่าครูบอกนักเรียนทุกคนในห้องเพราะมีคนส่งงานไม่ครบหลายคน ไม่ได้เจาะจงที่น้องเพียงคนเดียว แต่น้องกลุ้มใจจนเครียดไปแล้วว่าครูไม่ชอบตนเอง และถ้าครูไปบอกพ่อแม่ตัวเองก็จะโดนดุ

ในยุคนี้ จะพบเคสวัยรุ่นเครียดและทำร้ายตัวเองมากขึ้น เพราะการมองโลกในมุมเดียว หรือการตัดสินทุกอย่างแค่สองด้านคือ ขาวกับดำ หรือเทา แต่ไม่สามารถคิดถึงสีอื่นๆเช่น แดง เหลือง น้ำเงินได้ จึงทำให้โลกของเขามีแต่ทางตัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรสอนทักษะความยืดหยุ่นทางสังคมให้กับบุตรหลานด้วย ไม่ใช่รอแก้ปลายเหตุของความเครียดด้วยการทานยา

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ.

คู่ชายรักชายที่ชอบทะเลาะและเอาชนะกัน

วันก่อนมีคุณผู้อ่านเพศชายท่านหนึ่งเข้ามารับคำปรึกษาเรื่องคนรักที่เป็นชายรักชายเหมือนกัน ทั้งคู่ทำงานที่เดียวกัน และมีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดกัน คือทั้งคู่จะแข่งกันเอาชนะหรือเอาหน้ากันในเรื่องงาน มักจะทะเลาะกันเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งมีชัยชนะเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งคู่เดี๋ยวก็รักกัน เดี๋ยวก็เลิกกัน แฟนของคุณผู้ชายคนนี้ชอบเอาชนะด้วยการใช้อารมณ์ โมโหร้าย ไม่มีเหตุผล มองโลกแคบ ยึดความคิดเดิมๆ ของตนเองเป็นสำคัญ ไม่ฟังใคร และจะรับไม่ได้เลยหากถูกปฏิเสธ เขาทำตัวเหมือนเขาเก่งที่สุดในโลก แต่ก็ไม่รู้ทำไมชายคนที่มาปรึกษาครูเคทยังคงรักแฟนหนุ่มของเขา ทั้งๆ ที่ต้องเจ็บปวดใจอยู่บ่อยครั้ง

เขาเป็นฝ่ายยอมแฟนของเขาทุกครั้ง เพราะไม่อยากให้แฟนโกรธและจากไป เหมือนทุกครั้งที่ทะเลาะกันแรงๆ แฟนจะเป็นฝ่ายหายไปนานๆ เมื่ออารมณ์ดีแล้วจึงจะกลับมาคุยกัน แต่ความสัมพันธ์อย่างนี้ดำเนินไป 3-4 ปีแล้ว ในวันนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่มีแฟนอยู่เคียงข้าง เพราะเขาเหนื่อยกับความสัมพันธ์อย่างนี้ แต่พอตัดสินใจแล้ว เขาก็กลับทำไม่ได้ ยังคงพยายามกลับไปคุยกับแฟน และก็รู้ว่าจะไม่มีอะไรดีขึ้น

ที่ขอเขียนเรื่องนี้ เพราะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชายที่ทำให้ลูกชายกลายเป็นชายรักชาย และความพยายามในการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของชายรักชายคู่นี้

ชายคนนี้เล่าว่าพ่อของเขาเติบโตในครอบครัวใหญ่ มีลูกมาก พ่อเป็นลูกชายคนเล็กที่ปู่รักมากที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นคนที่ชอบใช้กำลัง ขี้โมโห และมองโลกในแง่ร้ายเสมอ เวลาเขาทำอะไรผิด พ่อจะลงโทษเขาอย่างรุนแรงมากแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บทจะรักลูกก็ดีใจหายสรรหาของมาประเคนให้ลูก เขารับไม่ได้ที่พ่อเป็นคนไม่มีเหตุมีผลอย่างนี้ แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าเขาเกลียดพ่อหรือรักพ่อ

แต่จากภาพของจิตของเขาทำให้เริ่มเข้าใจความคิดและพฤติกรรมของเขาที่มีต่อคนรัก เขาเลือกคนรักที่มีความคล้ายคลึงพ่อของเขา เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป หรือสิ่งที่เขาพยายามจะเข้าใจ นั่นคือ ความรักระหว่างเขากับพ่อของเขา จิตใต้สำนึกของเขากำลังรักผู้ชายคนที่เป็นเสมือนตัวแทนพ่อของเขา ความพยายามเข้าใจแฟนของเขาคือความพยายามเข้าใจพ่อของเขา เขาบอกว่าเวลาอยู่กับแฟนเขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นั่นคือความอบอุ่นที่เขาอยากได้จากพ่อของเขา และสิ่งนี้ทำให้เขาเป็นฝ่ายหยวนยอมแฟนของเขา เพราะไม่อยากขัดใจหรือทะเลาะกัน เพราะแฟนของเขาเกลียดการปฏิเสธ เขาต้องยอม และหากเราทำความเข้าใจแฟนของเขาที่ชอบเขาก็เพราะว่าแฟนรู้ว่าจะไม่ถูกปฏิเสธจากเขานั่นเอง

ดูเหมือนคู่นี้น่าจะเป็นคู่ที่เหมาะกันมาก แต่จริงๆ แล้ว นี่เป็นคู่ที่พบได้บ่อยทั้งคู่ชายหญิง ชายชาย และ หญิงหญิง ที่ขาดและพยายามเติมเต็มด้วยการหาแฟนที่เป็นภาพทับซ้อนของพ่อหรือแม่ที่เขาต้องการรักและถูกรัก คู่ที่เป็นอย่างนี้จึงเป็นความรักที่ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะคนขาดสองคนมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างคาดหวังหรือใช้ให้อีกฝ่ายเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจมากมายแต่อบอุ่นหัวใจ (แบบแปลกๆ)

อย่างไรก็ตาม ความรักที่ควรจะเป็นต้องมีความรากฐานมาจากความเข้าใจ ความเมตตา และความห่วงใยกันและกัน สำหรับคนที่ขาดหรือสงสัยในความรักของคุณกับพ่อแม่ แทนที่จะพยายามหาใครสักคนมาให้รักแทนพ่อแม่ คุณควรเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ด้วยการลดทิฐิส่วนตัว แล้วสานสัมพันธ์ใหม่กับพ่อแม่ แม้พ่อแม่จะมีทิฐิมานะมากแค่ไหน นี่คือสิ่งที่ลูกควรทำ หากลูกลดอัตตาและทิฐิลงก่อนและเป็นฝ่ายเข้าหาพ่อแม่ เราสามารถทำให้พ่อแม่ที่อาจมีปัญหาอะไรในใจ ได้เริ่มเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของท่าน (อย่าลืมว่าพ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดาที่มีปมปัญหาในชีวิตเช่นกัน) ในที่สุดแล้วไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะอยู่กับทิฐิและปฏิเสธลูกไปจนวันตาย หากความรักความสัมพันธ์ของคนเรากับพ่อแม่ของเราถูกเติมเต็มแล้ว เราจะกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตา สามารถรักตัวเองและรักผู้อื่นได้อย่างมีความสุขที่แท้จริงค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

เกิดมาไฮเปอร์สมาธิสั้นแล้วทำไมโตมีโอกาสซึมเศร้าด้วย

วันก่อนมีหนุ่มน้อยนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามารับคำปรึกษากับครูเคท ถึงอาการซึมเศร้าซึ่งเป็นมาได้ 2 ปีครึ่งแล้ว และรักษากับจิตแพทย์ด้วยการทานยาอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เกิดอาการจิตตก โหวงๆ ข้างใน หัวใจเต้นเร็ว ไม่อยากทำอะไร ซึ่งในกรณีอย่างนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์ผู้รักษาเพื่อทำการปรับยาที่รักษา และพบนักจิตวิทยาเพื่อปรับกระบวนการคิดที่นำไปสู่อาการซึมเศร้า เมื่อได้ซักถามประวัติของน้อง พบว่าน้องเป็นเด็กไฮเปอร์ที่ซนมากตั้งแต่เล็กๆ ซนมาก ชอบวิ่งไปมา นั่งเรียนนิ่งๆ ไม่ได้ จะมีอาการง่วงนอน แล้วก็จะถูกครูดุที่พูดมาก หรือซน หรือหลับในห้องเรียน น้องมักจะขอครูไปเข้าห้องน้ำ หรือไปดื่มน้ำอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้น้องยังมีอาการสมาธิสั้น ทำอะไรไม่ค่อยเสร็จ พ่อแม่หรือครูต้องคอยกระตุ้น ทำการบ้านก็ห่วงเล่น หรือต้องลุกไปนู่นนี่แล้วจึงกลับมาทำ แต่น้องเป็นคนหัวดีมาก เรียนเก่ง ตอนนี้เรียนวิศวะ

ที่น้องเริ่มมีอาการซึมเศร้า เพราะคิดว่าการเรียนหนัก และน้องมีความเครียดในการเรียน ซึ่งต้องการจะทำเกรดให้ได้ดี มีความคิดอยู่เสมอว่าทำอะไรต้องทำให้ได้ดี ทำอะไรเสร็จแล้วก็มักจะกลับมาดูแล้วคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ นอกจากนี้น้องยังมีลักษณะการตีความคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไปในทางลบต่อตัวเองอยู่เสมอ เช่น เพื่อนทักว่าเห็นน้องอ่านหนังสือมาเต็มที่ ทำไมได้คะแนนแค่นี้ น้องเข้าใจว่าเพื่อนกำลังว่าน้อง หรือดูถูกน้อง แสดงให้เห็นว่าน้องเข้าใจโลกเพียงด้านเดียว แต่พอได้พูดคุยกันและฝึกให้น้องเข้าใจเจตนารมณ์ที่เป็นไปได้หลายทางของเพื่อนที่พูดอย่างนั้น ทำให้น้องเริ่มคลายเครียด เพราะเข้าใจได้ใหม่ว่าเพื่อนไม่ได้ว่าอะไร เป็นการถามไถ่ด้วยความสงสัยเท่านั้น

ปัจจุบันมักพบคนที่เป็นสมาธิสั้น หรือ ไฮเปอร์ตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้นมักมีอาการซึมเศร้าตามมาด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะในวัยเด็กมักจะถูกผู้ใหญ่ดุ ตำหนิ เปรียบเทียบ หรือห้ามในเรื่องต่างๆ อยู่บ่อยๆ ทำให้เด็กซึ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกับตัวเขา เขาไม่เข้าใจว่าเพราะคลื่นสมองที่ไม่เสถียรทำให้เขาซน ยุกยิก หรือแม้แต่ง่วงเหงาหาวนอน ทำให้เขาเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี ไม่เก่ง ทำอะไรก็ถูกว่าอยู่เสมอ ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกด้อย กังวลใจ ขาดความเชื่อมั่น และมองโลกในแง่ลบต่อตัวเองโดยไม่รู้ตัว และกลายเป็นความเครียดสะสมจนอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสอนการควบคุมคลื่นสมองและสภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ โดยให้เด็กหัดสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ เมื่อรับรู้ความผิดปกติที่ปรากฏสัญญาณบนร่างกาย เช่น ใจเต้นแรง ร้อน กล้ามเนื้อเกร็ง รู้สึกโหวงๆ ข้างใน ฯลฯ ให้รับรู้และผ่อนคลายบริเวณนั้น หรือรอคอยอย่างใจเย็นให้สัญญาณเหล่านั้นค่อยๆ หายไป ฝึกปรับอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้ นับ 1-2-3 หายใจออกยาวๆพร้อมกับคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง อารมณ์จะดีขึ้น การยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขในสมอง หากจะฝึกสมาธิควรฝึกสมาธิแบบเคลื่อนไหว เช่น ในขณะออกกำลังกายให้สังเกตการเคลื่อนไหว ความตึง หด ของกล้ามเนื้อ การถ่ายน้ำหนักขณะเคลื่อนไหว ก็จะช่วยเพิ่มสมาธิได้ดี นอกจากนี้ ควรดูแลปรับเพิ่มสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสภาวะอารมณ์ เช่น วิตามิน B สังกะสี แมกนีเซียม อาหารที่มีโปรตีนสูง โอเมก้า 3 งดอาหารที่มีสารกระตุ้นสมอง เช่น กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น และวางโทรศัพท์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีพลังงานให้ห่างตัวให้มากที่สุดตอนนอนค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือเข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

พลังของพ่อแม่ทำให้หนูไฮเปอร์มากขึ้น

ช่วงนี้มีคุณผู้อ่านอินบ็อกซ์เข้ามาในเพจ kate inspirer ถามเกี่ยวกับวิธีรับมือกับลูกๆ ที่ไฮเปอร์และสมาธิสั้นกันหลายคน ในตอนก่อนๆ ที่ผ่านมา ครูเคทได้เขียนถึงเด็กไฮเปอร์และสมาธิสั้นไปหลายตอนแล้ว ครั้งนี้เลยขอเขียนเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง เพราะส่วนใหญ่มักจะมุ่งแก้ปัญหาพฤติกรรมของลูก เพราะเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่ลูก ต้องแก้ที่ลูก จนไม่ได้ตระหนักว่าคลื่นสมองของพ่อแม่สามารถส่งคลื่นรบกวนคลื่นสมองของลูกด้วย

สมัยที่ครูเคทเรียนจิตวิทยา อาจารย์ท่านหนึ่งได้สอนว่าทุกครั้งที่เจอผู้มารับคำปรึกษาต้องสอบถามพูดคุยและสังเกตกิริยาท่าทาง ฯลฯ ก่อนที่จะลงความเห็นว่าเขามีปัญหาหรือความผิดปกติใด แต่อาจารย์ได้พูดติดตลกว่ามีข้อยกเว้นสำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า แค่คนไข้ซึมเศร้าเดินเข้ามาในห้องเราจะสามารถสัมผัสพลังเศร้าหมองได้ทันที ซึ่งตอนเรียนครูเคทก็คิดว่าอาจารย์พูดตลก แต่พอตอนที่ไปฝึกงานกับจิตแพทย์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์หมอนึกว่าไม่มีคนไข้แล้ว จึงนั่งพูดคุยกับครูเคทอย่างสนุกสนานและทันใดนั้น เราทั้งสองคนหยุดหัวเราะกันกลางอากาศโดยไม่ได้นัดหมาย และรู้สึกงงๆ ว่าหยุดหัวเราะทำไม แต่พอเราหันไปทางประตู ปรากฏว่ามีคนไข้ตกค้างอยู่หนึ่งคนซึ่งเข้ามายืนเงียบๆ ในห้องนานแล้ว พออาจารย์ได้วินิจฉัยพบว่าคนไข้ท่านนั้นเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้ครูเคทย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดอาจารย์จิตวิทยาที่เคยบอกว่าเราจะสัมผัสความซึมเศร้าจากคนไข้ซึมเศร้าได้ก่อนที่จะได้พูดคุยกับคนไข้ด้วยซ้ำไป แสดงว่าในตอนนั้น ครูเคทกับอาจารย์หมอสัมผัสพลังซึมเศร้าของคนไข้ได้โดยไม่รู้ตัวและพลังนั้นขัดกับพลังเบิกบานที่เรากำลังหัวเราะกันอยู่ จึงเกิดการหยุดค้างแบบงงๆ

เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงมีประสบการณ์ตรงอย่างนี้ในครอบครัวอยู่แล้ว เช่น เวลาลูกกำลังหงุดหงิดแหกปากร้องไห้ พ่อแม่ก็จะเผลอหงุดหงิดหนักกว่าลูกเพราะกำลังกังวลว่าทำอย่างไรให้ลูกหยุดร้อง นั่นคือการรับส่งพลังงานระหว่างกันและกัน จึงทำให้พลังงานแห่งความโมโหทวีคูณขึ้นมากกว่าปกติ หรือ เวลาแฟนสาวน้อยใจร้องไห้ ฝ่ายชายรู้สึกกังวลใจไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะใจอยากปลอบให้เธอหยุดร้องไห้ พลังแห่งความกังวลใจของฝ่ายชายจะไปผสมกับพลังแห่งความน้อยใจเสียใจของฝ่ายหญิง ก็เลยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น และอาจมีตัดพ้อต่อว่าหนักขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น

ในกรณีที่ลูกเป็นเด็กไฮเปอร์ ซึ่งคลื่นสมองของเขาจะไม่เสถียรอยู่แล้ว คือ ตอนความถี่สูง เขาจะมีอาการกระวนกระวาย อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ต้องลุกเดินไปมา หยิบนู่นนี่ หรือบางคนก็จะพูดมาก ตอนที่ความถี่ต่ำ เขาจะง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งพฤติกรรมทั้งสองช่วงเป็นสิงที่พ่อแม่ไม่พึงประสงค์และพยายามจะจัดการให้กลับสู่พฤติกรรมปกติที่พ่อแม่ต้องการ แต่พ่อแม่ที่ไม่เข้าใจนอกจากจะจัดการไม่ได้แล้ว พลังความหงุดหงิดของพ่อแม่ที่จัดการกับพฤติกรรมของลูกไม่ได้ จะยิ่งถูกส่งต่อไปยังลูก ทำให้คลื่นสมองของลูกรวนหนักกว่าเดิม ที่อาละวาดร้องไห้โยเย ก็จะอาละวาดหนักกว่าเดิม ที่กำลังรู้สึกเสียใจ ก็จะเสียใจหนักกว่าเดิม

ดังนั้น เวลาพ่อแม่รับมือกับเด็กไฮเปอร์ สมาธิสั้น หรือแม้แต่เด็กปกติที่ทำพฤติกรรมที่พ่อแม่ไม่ต้องการ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ พ่อแม่ต้องปรับพลังของตัวเองก่อน รู้สึกตัวให้ไวก่อนว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด กำลังโมโห หรือ วิตกกังวล ฯลฯ จากนั้นค่อยๆ ปรับอารมณ์ของพ่อแม่ให้เป็นกลางก่อน แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับพฤติกรรมของลูกด้วยความเมตตา เทคนิคง่ายๆ ในการปรับอารมณ์พ่อแม่ก่อนที่จะดุลูกคือ การสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สัก 2-3 วินาที แล้วหายใจออกยาวๆ ทำซ้ำสัก 5-10 ครั้ง จนเห็นได้ชัดว่าอารมณ์พ่อแม่ดีขึ้น แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับปัญหาต่างๆ ของลูกด้วยความรักและเมตตา พร้อมที่จะให้อภัยลูก แล้วลองสังเกตว่าลูกจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างง่ายดายและไม่ยืดเยื้อค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ