Author: Krukateadmin1

คู่ชายรักชายที่ชอบทะเลาะและเอาชนะกัน

วันก่อนมีคุณผู้อ่านเพศชายท่านหนึ่งเข้ามารับคำปรึกษาเรื่องคนรักที่เป็นชายรักชายเหมือนกัน ทั้งคู่ทำงานที่เดียวกัน และมีความสัมพันธ์แบบทั้งรักทั้งเกลียดกัน คือทั้งคู่จะแข่งกันเอาชนะหรือเอาหน้ากันในเรื่องงาน มักจะทะเลาะกันเพื่อให้ฝ่ายหนึ่งมีชัยชนะเหนืออีกฝ่ายหนึ่ง ทั้งคู่เดี๋ยวก็รักกัน เดี๋ยวก็เลิกกัน แฟนของคุณผู้ชายคนนี้ชอบเอาชนะด้วยการใช้อารมณ์ โมโหร้าย ไม่มีเหตุผล มองโลกแคบ ยึดความคิดเดิมๆ ของตนเองเป็นสำคัญ ไม่ฟังใคร และจะรับไม่ได้เลยหากถูกปฏิเสธ เขาทำตัวเหมือนเขาเก่งที่สุดในโลก แต่ก็ไม่รู้ทำไมชายคนที่มาปรึกษาครูเคทยังคงรักแฟนหนุ่มของเขา ทั้งๆ ที่ต้องเจ็บปวดใจอยู่บ่อยครั้ง

เขาเป็นฝ่ายยอมแฟนของเขาทุกครั้ง เพราะไม่อยากให้แฟนโกรธและจากไป เหมือนทุกครั้งที่ทะเลาะกันแรงๆ แฟนจะเป็นฝ่ายหายไปนานๆ เมื่ออารมณ์ดีแล้วจึงจะกลับมาคุยกัน แต่ความสัมพันธ์อย่างนี้ดำเนินไป 3-4 ปีแล้ว ในวันนี้เขาจึงตัดสินใจที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าโดยไม่มีแฟนอยู่เคียงข้าง เพราะเขาเหนื่อยกับความสัมพันธ์อย่างนี้ แต่พอตัดสินใจแล้ว เขาก็กลับทำไม่ได้ ยังคงพยายามกลับไปคุยกับแฟน และก็รู้ว่าจะไม่มีอะไรดีขึ้น

ที่ขอเขียนเรื่องนี้ เพราะเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชายที่ทำให้ลูกชายกลายเป็นชายรักชาย และความพยายามในการเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของชายรักชายคู่นี้

ชายคนนี้เล่าว่าพ่อของเขาเติบโตในครอบครัวใหญ่ มีลูกมาก พ่อเป็นลูกชายคนเล็กที่ปู่รักมากที่สุด แต่กลับเป็นคนที่ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นคนที่ชอบใช้กำลัง ขี้โมโห และมองโลกในแง่ร้ายเสมอ เวลาเขาทำอะไรผิด พ่อจะลงโทษเขาอย่างรุนแรงมากแม้จะเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ บทจะรักลูกก็ดีใจหายสรรหาของมาประเคนให้ลูก เขารับไม่ได้ที่พ่อเป็นคนไม่มีเหตุมีผลอย่างนี้ แต่เขาก็บอกไม่ได้ว่าเขาเกลียดพ่อหรือรักพ่อ

แต่จากภาพของจิตของเขาทำให้เริ่มเข้าใจความคิดและพฤติกรรมของเขาที่มีต่อคนรัก เขาเลือกคนรักที่มีความคล้ายคลึงพ่อของเขา เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไป หรือสิ่งที่เขาพยายามจะเข้าใจ นั่นคือ ความรักระหว่างเขากับพ่อของเขา จิตใต้สำนึกของเขากำลังรักผู้ชายคนที่เป็นเสมือนตัวแทนพ่อของเขา ความพยายามเข้าใจแฟนของเขาคือความพยายามเข้าใจพ่อของเขา เขาบอกว่าเวลาอยู่กับแฟนเขารู้สึกอบอุ่นในหัวใจ นั่นคือความอบอุ่นที่เขาอยากได้จากพ่อของเขา และสิ่งนี้ทำให้เขาเป็นฝ่ายหยวนยอมแฟนของเขา เพราะไม่อยากขัดใจหรือทะเลาะกัน เพราะแฟนของเขาเกลียดการปฏิเสธ เขาต้องยอม และหากเราทำความเข้าใจแฟนของเขาที่ชอบเขาก็เพราะว่าแฟนรู้ว่าจะไม่ถูกปฏิเสธจากเขานั่นเอง

ดูเหมือนคู่นี้น่าจะเป็นคู่ที่เหมาะกันมาก แต่จริงๆ แล้ว นี่เป็นคู่ที่พบได้บ่อยทั้งคู่ชายหญิง ชายชาย และ หญิงหญิง ที่ขาดและพยายามเติมเต็มด้วยการหาแฟนที่เป็นภาพทับซ้อนของพ่อหรือแม่ที่เขาต้องการรักและถูกรัก คู่ที่เป็นอย่างนี้จึงเป็นความรักที่ลุ่มๆ ดอนๆ เพราะคนขาดสองคนมาเจอกัน ต่างฝ่ายต่างคาดหวังหรือใช้ให้อีกฝ่ายเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป จึงเป็นความสัมพันธ์ที่เต็มไปด้วยความทุกข์ใจมากมายแต่อบอุ่นหัวใจ (แบบแปลกๆ)

อย่างไรก็ตาม ความรักที่ควรจะเป็นต้องมีความรากฐานมาจากความเข้าใจ ความเมตตา และความห่วงใยกันและกัน สำหรับคนที่ขาดหรือสงสัยในความรักของคุณกับพ่อแม่ แทนที่จะพยายามหาใครสักคนมาให้รักแทนพ่อแม่ คุณควรเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไป ด้วยการลดทิฐิส่วนตัว แล้วสานสัมพันธ์ใหม่กับพ่อแม่ แม้พ่อแม่จะมีทิฐิมานะมากแค่ไหน นี่คือสิ่งที่ลูกควรทำ หากลูกลดอัตตาและทิฐิลงก่อนและเป็นฝ่ายเข้าหาพ่อแม่ เราสามารถทำให้พ่อแม่ที่อาจมีปัญหาอะไรในใจ ได้เริ่มเข้าใจความรู้สึกที่แท้จริงของท่าน (อย่าลืมว่าพ่อแม่ก็เป็นคนธรรมดาที่มีปมปัญหาในชีวิตเช่นกัน) ในที่สุดแล้วไม่มีพ่อแม่คนไหนที่จะอยู่กับทิฐิและปฏิเสธลูกไปจนวันตาย หากความรักความสัมพันธ์ของคนเรากับพ่อแม่ของเราถูกเติมเต็มแล้ว เราจะกลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยความรักความเมตตา สามารถรักตัวเองและรักผู้อื่นได้อย่างมีความสุขที่แท้จริงค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

เกิดมาไฮเปอร์สมาธิสั้นแล้วทำไมโตมีโอกาสซึมเศร้าด้วย

วันก่อนมีหนุ่มน้อยนักศึกษามหาวิทยาลัยเข้ามารับคำปรึกษากับครูเคท ถึงอาการซึมเศร้าซึ่งเป็นมาได้ 2 ปีครึ่งแล้ว และรักษากับจิตแพทย์ด้วยการทานยาอย่างต่อเนื่อง แต่ตอนนี้เกิดอาการจิตตก โหวงๆ ข้างใน หัวใจเต้นเร็ว ไม่อยากทำอะไร ซึ่งในกรณีอย่างนี้ควรรีบกลับไปพบแพทย์ผู้รักษาเพื่อทำการปรับยาที่รักษา และพบนักจิตวิทยาเพื่อปรับกระบวนการคิดที่นำไปสู่อาการซึมเศร้า เมื่อได้ซักถามประวัติของน้อง พบว่าน้องเป็นเด็กไฮเปอร์ที่ซนมากตั้งแต่เล็กๆ ซนมาก ชอบวิ่งไปมา นั่งเรียนนิ่งๆ ไม่ได้ จะมีอาการง่วงนอน แล้วก็จะถูกครูดุที่พูดมาก หรือซน หรือหลับในห้องเรียน น้องมักจะขอครูไปเข้าห้องน้ำ หรือไปดื่มน้ำอยู่บ่อยๆ นอกจากนี้น้องยังมีอาการสมาธิสั้น ทำอะไรไม่ค่อยเสร็จ พ่อแม่หรือครูต้องคอยกระตุ้น ทำการบ้านก็ห่วงเล่น หรือต้องลุกไปนู่นนี่แล้วจึงกลับมาทำ แต่น้องเป็นคนหัวดีมาก เรียนเก่ง ตอนนี้เรียนวิศวะ

ที่น้องเริ่มมีอาการซึมเศร้า เพราะคิดว่าการเรียนหนัก และน้องมีความเครียดในการเรียน ซึ่งต้องการจะทำเกรดให้ได้ดี มีความคิดอยู่เสมอว่าทำอะไรต้องทำให้ได้ดี ทำอะไรเสร็จแล้วก็มักจะกลับมาดูแล้วคิดว่าน่าจะทำได้ดีกว่านี้ นอกจากนี้น้องยังมีลักษณะการตีความคำพูดหรือการกระทำของคนอื่นไปในทางลบต่อตัวเองอยู่เสมอ เช่น เพื่อนทักว่าเห็นน้องอ่านหนังสือมาเต็มที่ ทำไมได้คะแนนแค่นี้ น้องเข้าใจว่าเพื่อนกำลังว่าน้อง หรือดูถูกน้อง แสดงให้เห็นว่าน้องเข้าใจโลกเพียงด้านเดียว แต่พอได้พูดคุยกันและฝึกให้น้องเข้าใจเจตนารมณ์ที่เป็นไปได้หลายทางของเพื่อนที่พูดอย่างนั้น ทำให้น้องเริ่มคลายเครียด เพราะเข้าใจได้ใหม่ว่าเพื่อนไม่ได้ว่าอะไร เป็นการถามไถ่ด้วยความสงสัยเท่านั้น

ปัจจุบันมักพบคนที่เป็นสมาธิสั้น หรือ ไฮเปอร์ตั้งแต่เด็กๆ เมื่อโตขึ้นมักมีอาการซึมเศร้าตามมาด้วย ทั้งนี้เป็นเพราะในวัยเด็กมักจะถูกผู้ใหญ่ดุ ตำหนิ เปรียบเทียบ หรือห้ามในเรื่องต่างๆ อยู่บ่อยๆ ทำให้เด็กซึ่งไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรกับตัวเขา เขาไม่เข้าใจว่าเพราะคลื่นสมองที่ไม่เสถียรทำให้เขาซน ยุกยิก หรือแม้แต่ง่วงเหงาหาวนอน ทำให้เขาเข้าใจว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี ไม่เก่ง ทำอะไรก็ถูกว่าอยู่เสมอ ทำให้เขาเติบโตขึ้นมาด้วยความรู้สึกด้อย กังวลใจ ขาดความเชื่อมั่น และมองโลกในแง่ลบต่อตัวเองโดยไม่รู้ตัว และกลายเป็นความเครียดสะสมจนอาจนำไปสู่โรคซึมเศร้าได้

พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถสอนการควบคุมคลื่นสมองและสภาวะอารมณ์ให้เป็นปกติ โดยให้เด็กหัดสังเกตอารมณ์และความรู้สึกของตัวเองบ่อยๆ เมื่อรับรู้ความผิดปกติที่ปรากฏสัญญาณบนร่างกาย เช่น ใจเต้นแรง ร้อน กล้ามเนื้อเกร็ง รู้สึกโหวงๆ ข้างใน ฯลฯ ให้รับรู้และผ่อนคลายบริเวณนั้น หรือรอคอยอย่างใจเย็นให้สัญญาณเหล่านั้นค่อยๆ หายไป ฝึกปรับอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้ นับ 1-2-3 หายใจออกยาวๆพร้อมกับคลายกล้ามเนื้อทุกส่วน ทำซ้ำ 5-10 ครั้ง อารมณ์จะดีขึ้น การยิ้มหรือหัวเราะบ่อยๆ จะช่วยเพิ่มสารแห่งความสุขในสมอง หากจะฝึกสมาธิควรฝึกสมาธิแบบเคลื่อนไหว เช่น ในขณะออกกำลังกายให้สังเกตการเคลื่อนไหว ความตึง หด ของกล้ามเนื้อ การถ่ายน้ำหนักขณะเคลื่อนไหว ก็จะช่วยเพิ่มสมาธิได้ดี นอกจากนี้ ควรดูแลปรับเพิ่มสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อสภาวะอารมณ์ เช่น วิตามิน B สังกะสี แมกนีเซียม อาหารที่มีโปรตีนสูง โอเมก้า 3 งดอาหารที่มีสารกระตุ้นสมอง เช่น กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เป็นต้น และวางโทรศัพท์ หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีพลังงานให้ห่างตัวให้มากที่สุดตอนนอนค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือเข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

พลังของพ่อแม่ทำให้หนูไฮเปอร์มากขึ้น

ช่วงนี้มีคุณผู้อ่านอินบ็อกซ์เข้ามาในเพจ kate inspirer ถามเกี่ยวกับวิธีรับมือกับลูกๆ ที่ไฮเปอร์และสมาธิสั้นกันหลายคน ในตอนก่อนๆ ที่ผ่านมา ครูเคทได้เขียนถึงเด็กไฮเปอร์และสมาธิสั้นไปหลายตอนแล้ว ครั้งนี้เลยขอเขียนเกี่ยวกับคุณพ่อคุณแม่บ้าง เพราะส่วนใหญ่มักจะมุ่งแก้ปัญหาพฤติกรรมของลูก เพราะเชื่อว่าปัญหาอยู่ที่ลูก ต้องแก้ที่ลูก จนไม่ได้ตระหนักว่าคลื่นสมองของพ่อแม่สามารถส่งคลื่นรบกวนคลื่นสมองของลูกด้วย

สมัยที่ครูเคทเรียนจิตวิทยา อาจารย์ท่านหนึ่งได้สอนว่าทุกครั้งที่เจอผู้มารับคำปรึกษาต้องสอบถามพูดคุยและสังเกตกิริยาท่าทาง ฯลฯ ก่อนที่จะลงความเห็นว่าเขามีปัญหาหรือความผิดปกติใด แต่อาจารย์ได้พูดติดตลกว่ามีข้อยกเว้นสำหรับคนที่เป็นโรคซึมเศร้า แค่คนไข้ซึมเศร้าเดินเข้ามาในห้องเราจะสามารถสัมผัสพลังเศร้าหมองได้ทันที ซึ่งตอนเรียนครูเคทก็คิดว่าอาจารย์พูดตลก แต่พอตอนที่ไปฝึกงานกับจิตแพทย์ มีอยู่ครั้งหนึ่ง อาจารย์หมอนึกว่าไม่มีคนไข้แล้ว จึงนั่งพูดคุยกับครูเคทอย่างสนุกสนานและทันใดนั้น เราทั้งสองคนหยุดหัวเราะกันกลางอากาศโดยไม่ได้นัดหมาย และรู้สึกงงๆ ว่าหยุดหัวเราะทำไม แต่พอเราหันไปทางประตู ปรากฏว่ามีคนไข้ตกค้างอยู่หนึ่งคนซึ่งเข้ามายืนเงียบๆ ในห้องนานแล้ว พออาจารย์ได้วินิจฉัยพบว่าคนไข้ท่านนั้นเป็นโรคซึมเศร้า ทำให้ครูเคทย้อนกลับไปนึกถึงคำพูดอาจารย์จิตวิทยาที่เคยบอกว่าเราจะสัมผัสความซึมเศร้าจากคนไข้ซึมเศร้าได้ก่อนที่จะได้พูดคุยกับคนไข้ด้วยซ้ำไป แสดงว่าในตอนนั้น ครูเคทกับอาจารย์หมอสัมผัสพลังซึมเศร้าของคนไข้ได้โดยไม่รู้ตัวและพลังนั้นขัดกับพลังเบิกบานที่เรากำลังหัวเราะกันอยู่ จึงเกิดการหยุดค้างแบบงงๆ

เชื่อว่าคุณผู้อ่านคงมีประสบการณ์ตรงอย่างนี้ในครอบครัวอยู่แล้ว เช่น เวลาลูกกำลังหงุดหงิดแหกปากร้องไห้ พ่อแม่ก็จะเผลอหงุดหงิดหนักกว่าลูกเพราะกำลังกังวลว่าทำอย่างไรให้ลูกหยุดร้อง นั่นคือการรับส่งพลังงานระหว่างกันและกัน จึงทำให้พลังงานแห่งความโมโหทวีคูณขึ้นมากกว่าปกติ หรือ เวลาแฟนสาวน้อยใจร้องไห้ ฝ่ายชายรู้สึกกังวลใจไม่รู้จะทำอย่างไรเพราะใจอยากปลอบให้เธอหยุดร้องไห้ พลังแห่งความกังวลใจของฝ่ายชายจะไปผสมกับพลังแห่งความน้อยใจเสียใจของฝ่ายหญิง ก็เลยยิ่งร้องไห้หนักขึ้น และอาจมีตัดพ้อต่อว่าหนักขึ้นกว่าเดิม เป็นต้น

ในกรณีที่ลูกเป็นเด็กไฮเปอร์ ซึ่งคลื่นสมองของเขาจะไม่เสถียรอยู่แล้ว คือ ตอนความถี่สูง เขาจะมีอาการกระวนกระวาย อยู่นิ่งๆ ไม่ได้ ต้องลุกเดินไปมา หยิบนู่นนี่ หรือบางคนก็จะพูดมาก ตอนที่ความถี่ต่ำ เขาจะง่วงเหงาหาวนอน ซึ่งพฤติกรรมทั้งสองช่วงเป็นสิงที่พ่อแม่ไม่พึงประสงค์และพยายามจะจัดการให้กลับสู่พฤติกรรมปกติที่พ่อแม่ต้องการ แต่พ่อแม่ที่ไม่เข้าใจนอกจากจะจัดการไม่ได้แล้ว พลังความหงุดหงิดของพ่อแม่ที่จัดการกับพฤติกรรมของลูกไม่ได้ จะยิ่งถูกส่งต่อไปยังลูก ทำให้คลื่นสมองของลูกรวนหนักกว่าเดิม ที่อาละวาดร้องไห้โยเย ก็จะอาละวาดหนักกว่าเดิม ที่กำลังรู้สึกเสียใจ ก็จะเสียใจหนักกว่าเดิม

ดังนั้น เวลาพ่อแม่รับมือกับเด็กไฮเปอร์ สมาธิสั้น หรือแม้แต่เด็กปกติที่ทำพฤติกรรมที่พ่อแม่ไม่ต้องการ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ พ่อแม่ต้องปรับพลังของตัวเองก่อน รู้สึกตัวให้ไวก่อนว่าตัวเองกำลังหงุดหงิด กำลังโมโห หรือ วิตกกังวล ฯลฯ จากนั้นค่อยๆ ปรับอารมณ์ของพ่อแม่ให้เป็นกลางก่อน แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับพฤติกรรมของลูกด้วยความเมตตา เทคนิคง่ายๆ ในการปรับอารมณ์พ่อแม่ก่อนที่จะดุลูกคือ การสูดลมหายใจเข้าลึกๆ กลั้นไว้สัก 2-3 วินาที แล้วหายใจออกยาวๆ ทำซ้ำสัก 5-10 ครั้ง จนเห็นได้ชัดว่าอารมณ์พ่อแม่ดีขึ้น แล้วจึงค่อยๆ จัดการกับปัญหาต่างๆ ของลูกด้วยความรักและเมตตา พร้อมที่จะให้อภัยลูก แล้วลองสังเกตว่าลูกจะเปลี่ยนพฤติกรรมได้อย่างง่ายดายและไม่ยืดเยื้อค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

ลูกชั้นเตรียมอนุบาลไม่ยอมไปโรงเรียน

มีคุณแม่ท่านหนึ่งอินบ็อกซ์มาถามครูเคทในเพจ Kate Inspirer ว่า “… ลูกอยู่เตรียมอนุบาลไม่ยอมไปโรงเรียนค่ะ ทำไงดีคะ ตื่นเช้ามาโวยวายไม่ไปโรงเรียน ไม่อาบน้ำ ร้องโวยวาย แล้วมีกิริยาเอาแต่ใจตัวเองถ้าไม่พอใจเอามือ 2 ข้างถูไปมาอาละวาดค่ะ ขอคำแนะนำหน่อยค่ะ…”

การที่เด็กไม่อยากไปโรงเรียนมีหลายสาเหตุ เช่น อาจเกี่ยวข้องกับโรงเรียน หรือที่บ้าน หรืออาจเกิดจากปัจจัยของตัวเด็กเองก็ได้

สาเหตุที่เกี่ยวกับโรงเเรียน เช่น โดนครูดุ หรือขู่ โดนเพื่อนว่าหรือแกล้งหรือหัวเราะเยาะ หรืออาจกลัวสถานที่ เพราะอาจได้ยินเรื่องราวบางอย่าง อย่างเช่น เพื่อนบอกว่าตรงนั้นตรงนี้มีผี มีแมงมุม ฯลฯ ต้องค่อยๆ หลอกถามเวลาอารมณ์ดี ให้เขาเล่าให้ฟัง

สาเหตุที่เกี่ยวกับครอบครัว เช่น พ่อแม่ทะเลาะกัน หรือมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นที่บ้านที่ทำให้เด็กมีความวิตกกังวล เช่น กลัวพ่อแม่เลิกกัน กลัวพ่อแม่ทะเลาะกัน กลัวพ่อแม่หายไป ฯลฯ หรือในกรณีที่พ่อแม่เลี้ยงลูกแบบใกล้ชิดเกินไป ลูกอาจไม่อยากห่างพ่อแม่ จึงไม่อยากไปโรงเรียนก็ได้

สาเหตุที่เกี่ยวกับตัวเด็กเอง เช่น เด็กนอนไม่เต็มอิ่มแล้วถูกปลุกขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวไปโรงเงรียน ทำให้รู้สึกหงุดหงิดโดนบังคับ จิตของเด็กอาจเชื่อมโยงความหงุดหงิดกับการไปโรงเรียนได้ จากที่ถามมา การที่เด็กอาละวาดถูมือไปมาเป็นสัญญาณของความเครียดและอึดอัดใจ และไม่รู้ว่าจะแสดงออกอย่างไร พ่อแม่ต้องสังเกตเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง อย่าดุหรือบังคับ เพราะจะยิ่งเชื่อมโยงให้เด็กเกลียดโรงเรียนมากขึ้น

บางคนขาดทักษะทางสังคมไม่รู้จะเล่นกับเพื่อนอย่างไร จึงไม่อยากเล่นกับคนที่ไม่คุ้นเคย เพราะเติบโตมากับโลกเสมือนจริงในมือถือ ทำให้ขาดทักษะเกี่ยวกับมนุษย์ ไม่รู้จะคุยกับใครอย่างไร ยิ่งบ้านที่พ่อแม่สื่อสารทางเดียวคือสั่งกับสอน แต่ไม่เคยตั้งใจฟังลูกจริงๆ ยิ่งทำให้เด็กกลัวการพูดคุยกับคนมากขึ้น นอกจากนี้ลองสังเกตอาการและพฤติกรรมในด้านอื่นๆ ด้วยเช่น การรอคอย พฤติกรรมเมื่ออยู่กับเพื่อนหรือคนอื่นๆ ที่ไม่คุ้นเคย ภาษาและบทสนทนากับผู้อื่น (เด็กบางคนเริ่มบทสนทนาไม่เป็น เพราะส่วนใหญ่มีแต่ถูกถาม)

เด็กบางคนยังช่วยเหลือตัวเองไม่เก่งทำให้กังวลใจเวลาเข้าห้องน้ำหรือทำอะไรไม่ทันเพื่อน ขาดความเชื่อมั่นในการทำอะไรโดยที่ไม่มีพ่อแม่อยู่ด้วย พ่อแม่ควรเตรียมความพร้อมของลูกด้านทักษะการดูแลตัวเองและทักษะทางสังคมก่อนที่จะเข้าโรงเรียน หากเด็กยังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องเร่งรัด สมัยก่อนอนุบาลมีแค่ อ. 1-2 เท่านั้น ไม่มีเตรียมอนุบาล สมัยนี้เร่งเรียนกันมากไป กลายเป็นเด็กต้องเรียนเตรียมอนุบาล แล้วยังต้องเรียน อ. 1-3 หากที่บ้านมีผู้ปกครองเลี้ยงดูเด็กได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องเร่งเข้าโรงเรียนค่ะ

การสอนให้เด็กยุคใหม่มีทักษะสังคมกับคนตัวเป็นๆ และเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เด็กที่ไม่เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกตัวเองมักเก็บกดอารมณ์สะสมเอาไว้ เมื่อโตขึ้นมักจะซึมเศร้า หรือไม่ก็กลายเป็นคนฉุนเฉียวค่ะ ควรสอนให้เด็กหัดสังเกตและเข้าใจความรู้สึกของตัวเองที่ปรากฏบนร่างกาย เช่น “หนูกำลังโกรธใช่มั้ย ดูสิตัวแข็งเลย (หรือ หน้าร้อนเลย หรือ หายใจแรงเลย)” “โถ… หนูกำลังกลัว ดูสิตัวสั่นเลย” ฯลฯ เมื่อเด็กเข้าความรู้สึกของตัวเองแล้ว ให้สอนวิธีตอบสนองอย่างเหมาะสม เช่น ถ้ารู้สึกกลัวหรือโกรธ ให้สูดหายใจเข้าลึกๆ ออกช้าๆ ยาวๆ ถ้ารู้สึกอาย ให้ยิ้มรับ เป็นต้น

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

กลัวว่าตัวเองเป็นโรคร้ายทั้งที่ไม่ได้เป็น

วันก่อนมีชายโสดวัย 30 กว่าเข้ามารับคำปรึกษากับครูเคทด้วยอาการเครียดและวิตกกังวลหลังการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเขายังไม่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน เขาจึงต้องพึ่งพาบริการทางเพศ ทุกครั้งที่เขามีเพศสัมพันธ์ เขาจะเกิดความวิตกกังวลว่าเขาจะติดเชื้อ HIV ทั้งๆ ที่เขามีการป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง เขากังวลมากถึงกับต้องไปเจาะเลือดตรวจหลายครั้ง เพราะเขาศึกษาหาข้อมูลจากแหล่งต่างๆ จนมีความรู้มากพอเกี่ยวกับชุดตรวจแต่ละประเภทว่า บางชุดตรวจสามารถตรวจเจอหลังจากที่ได้รับเชื้อ 1-2 สัปดาห์ บางชุดตรวจสามารถตรวจเจอหลังจากที่ได้รับเชื้อ 3-4 สัปดาห์ ดังนั้นเขาจึงเวียนตรวจหาเชื้อตามคลินิกและโรงพยาบาลด้วยวิธีการต่างๆ เฉลี่ย 4-5 ครั้ง ต่อการมีเพศสัมพันธ์ 1 ครั้ง และไม่ว่าคุณหมอผู้อ่านผลตรวจและผู้เชี่ยวชาญโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทุกคนจะยืนยันว่าเขาไม่ได้ติดเชื้ออย่างแน่นอน และโอกาสที่เขาจะติดเชื้อนั้นต่ำมาก เพราะเขามีการป้องกันอย่างดีอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังไม่สามารถวางใจ รู้สึกเข็ดขยาด และจะกังวลใจวนไปวนมาอีกนานเป็นปี กว่าที่เขาจะเริ่มมีเพศสัมพันธ์ครั้งใหม่ได้

ช่วงหนึ่งเขามีแฟนเป็นตัวเป็นตน ซึ่งแฟนของเขานั้นเป็นเพื่อนรุ่นน้องที่นิสัยดี เรียบร้อยมาก ไม่มีพฤติกรรมสำส่อนทางเพศ แต่เมื่อเขาได้มีอะไรกับเธอเพียงครั้งเดียว อาการวิตกกังวลว่าเขาจะติดเชื้อ HIV ก็กลับมาอีก และได้ไปตรวจหาเชื้อหลายครั้งอีกเช่นเดิม เขาพยายามคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผล ใจหนึ่งเขาก็เชื่อว่าไม่มีทางที่เขาจะติดเชื้อมาจากแฟนของเขาอย่างแน่นอน 99.99% แต่แล้วอีกใจหนึ่งก็คิดขึ้นมาว่าเนื่องจากแฟนของเขาเคยมีแฟนมาก่อนหน้าเขาคนหนึ่ง ดังนั้นมีโอกาส 0.01% ที่แฟนเขาจะติดเชื้อขึ้นมาก็ได้ ฯลฯ และเป็นเรื่องที่น่าเศร้าและน่าเสียดาย เขาไม่สามารถมีอะไรกับแฟนได้อีก เพราะความวิตกกังวลว่าจะติดเชื้อ ไม่นานเขาก็เลิกกับแฟน และเมื่อได้พูดคุยถึงเรื่องอื่นๆ ที่ทำให้เขาวิตกจริต ก็พบว่าเขามีความย้ำคิดย้ำทำในเรื่องต่างๆ สูง หรือที่เรียกว่า OCD – obsessive compulsive disorder เช่น เขาได้รับข้อเสนองานใหม่ที่ดีมาก แต่ด้วยความกังวลเรื่องนู้นเรื่องนี้ทำให้เขาปฏิเสธงานใหม่ไปอย่างน่าเสียดาย เป็นต้น เขารู้สึกเครียดจนหัวมึนๆ ตึงๆ  คิดมากจนไม่สามารถมีสมาธิกับสิ่งต่างๆ รอบตัวได้

การขจัดความวิตกกังวลต่างๆ ที่วนเวียนในใจ ครูเคทได้แนะนำให้เขาอยู่กับหลักฐานความเป็นจริงในปัจจุบัน เช่น ความน่าเชื่อถือของแล็บและแพทย์ และไม่ว่าเขาจะไม่เชื่อผลตรวจที่ตรวจจนนับครั้งไม่ถ้วน ก็ให้ลองเชื่อตัวเองดู โดยการให้เขาสำรวจร่างกายส่วนต่างๆ ว่าเขารู้สึกว่ามีส่วนใดมีความผิดปกติบ้าง ทำให้เขาเริ่มเห็นว่าเขายังมีสุขภาพแข็งแรงดีอยู่ แต่แล้วก็มีความคิดวิตกกังวลต่อไปอีกว่า อาจเป็นไปได้ว่าขณะนี้เขายังไม่เป็นอะไร แต่อาการของโรคอาจจะปรากฏในอนาคตก็ได้ ครูเคทจึงได้ให้เขาลองฝึกคิดต่อให้ถึงที่สุดว่า ถ้าเขาเป็นแล้วจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเขาต้องทำอย่างไร ในที่สุดเขาก็พบว่าถ้าเป็นจริงๆ ก็ต้องรักษา อาจต้องทานยาไปตลอดชีวิต แต่เขาก็ยังดำเนินชีวิตตามปกติต่อไปได้ แต่ขณะนี้เขาไม่ได้เป็น ส่วนอนาคตถ้าเป็นก็สามารถรับมือได้

ความวิตกกังวลลักษณะนี้เกิดจากความกลัวสิ่งที่ไม่รู้ กลัวสิ่งที่จะเกิดในอนาคต แม้เราจะพยายามหาข้อมูลและเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนว่าโอกาสที่ปัญหาที่กังวลอยู่จริงๆ นั้นมีความน่าจะเป็นต่ำมาก แต่คนที่คิดมากก็ยังคิดว่ามีโอกาสที่ปัญหาจะเกิดขึ้นได้ ดังนั้นแทนที่จะเสียเวลาหาเหตุผลว่าจะเกิดหรือไม่เกิดปัญหา ให้ลองมองที่ทักษะและความสามารถของตัวเองในการแก้ไขปัญหา หากปัญหายังไม่เกิด ก็ไม่ต้องทำอะไร หากปัญหาเกิดก็แก้ไขไป มนุษย์มีทักษะในการแก้ไขปัญหาและการเอาตัวรอดติดตัวมาทุกคน และหากเราพยายามแก้ปัญหาเองแล้ว แต่ก็ยังแก้ไม่ได้ ก็ยังมีคนอื่นที่จะเข้ามาช่วยแก้ไขให้ได้ หรือมีวิธีการแก้ไขปัญหาอีกมากมาย และหากไม่มีใครแก้ไขปัญหานั้นได้ ก็ให้เรียนรู้ที่จะอยู่กับปัญหานั้นโดยไม่ทำให้ตัวเองเป็นทุกข์

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือเข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

รับมือกับเจ้านายขี้หงุดหงิด

มีพนักงานหญิงคนหนึ่งเข้ามารับคำปรึกษากับครูเคท ว่าช่วงนี้รู้สึกจิตตกกับการทำงาน เพราะรู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเจ้านาย บางทีนายก็บอกว่าไว้ใจให้ทำงานอะไรไม่ได้สักอย่าง ทำงานให้เสร็จไปวันๆ ไม่ใส่ใจงาน ฯลฯ เธอทำงานเป็นมือขวาเจ้านายซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทด้วย แต่นายเป็นคนเรื่องเยอะ เช่น เธอเตรียมสไลด์ให้ เจ้านายก็บ่นว่ารูปแบบไม่สวย สีไม่ถูกต้อง ตัวอักษรเล็กไป สะกดผิด ฯลฯ เธอคิดว่าเธอเป็นคนตั้งใจและทุ่มเทให้กับการทำงานมาก ไปทำงานแต่เช้ากลับดึกทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ถ้ามีงานเธอก็ไปด้วยความเต็มใจ แต่ทำไมนายดูจะหงุดหงิดกับเธอมาก

ปัญหาเจ้านายกับลูกน้องในเคสนี้เกิดจากการมองคนละมุม ลองมามองมุมของเจ้านายก่อนนะคะ ในสภาวะตึงเครียดทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองอย่างในปัจจุบันนี้ เจ้านายคงจะมีความวิตกกังวลหลายด้าน ไหนจะหารายได้เข้าบริษัทให้ได้ตามเป้า เพื่อให้ครอบคลุมหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่างๆ และยังต้องดูแลพนักงานโดยพยายามรักษาไม่ทำให้ใครต้องตกงาน ความกังวลเหล่านี้ทำให้คนเป็นนายเกิดความเครียดแล้วไม่รู้จะจัดการกับความเครียดอย่างไร จึงกระแทกออกมาเป็นความหงุดหงิด โกรธ ตำหนิติเตียน และกล่าวโทษลูกน้อง ส่วนด้านลูกน้อง ก็เครียดในใจว่าบริษัทจะยังไปรอดหรือไม่ ตนจะตกงานไม่รู้ตัวหรือไม่ ฯลฯ จึงทำให้ลูกน้องมีโอกาสทำงานผิดพลาดตกหล่นขาดสมาธิในการทำงาน
คนที่มีความวิตกกังวลจะมีอาการครุ่นคิดวนเวียนอยู่ในใจทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ความไม่รู้ตัวนี่แหละค่ะที่ทำให้คนเราเกิดความเครียด และเมื่อเครียดมากขึ้น ก็เกิดอารมณ์หงุดหงิด สิ่งที่คนทำงานกังวลแบบไม่รู้ตัวมากที่สุดก็คือ กลัวทำไม่เสร็จ กลัวทำไม่ถูก กลัวทำไม่ดี เพราะคิดเอาว่าหากเราทำอะไรผิดพลาด ไม่สำเร็จ หรือไม่มีคุณภาพ ผลที่จะตามมาก็คือการถูกตำหนิติเตียน หรือถูกดูถูกจากคนอื่นๆ หรือแม้แต่ผิดหวังกับตัวเอง ดูถูกและตำหนิตัวเองว่าล้มเหลว การมองตัวเองในแง่ลบเกิดจากการเผลอเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่เสมอ และมีแนวโน้มเห็นว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นอยู่บ่อยๆ

ในช่วงที่บรรยากาศในที่ทำงานมีความเครียด ทั้งเจ้านายและลูกน้องควรเปลี่ยนวิธีการสื่อสาร เจ้านายเวลาสั่งงาน ควรสั่งให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร เพราะอะไร จะเอาไปทำอะไร เพื่อใคร เพื่อให้ลูกน้องได้เห็นภาพเดียวกัน ส่วนลูกน้องเวลารับคำสั่ง ก็ควรทวนความเข้าใจของตัวเองให้นายฟังสักรอบ เพื่อจะได้มั่นใจว่าเห็นตรงกัน และควรอธิบายแผนการทำงานของตนและเหตุผลที่ตัวเองจะทำอย่างนั้นให้นายได้รับทราบ เพื่อที่นายจะได้ช่วยดูกระบวนการทำงานถูกต้องแล้วหรือยัง ซึ่งจะช่วยทำให้นายคลายความกลัวผลงานจะออกมาผิดพลาด และความกลัวผลงานออกมาไม่มีคุณภาพได้ด้วย ระหว่างการทำงาน ลูกน้องควรมีการรายงานเจ้านายเป็นระยะๆ เพื่อให้เจ้านายคลายความกลัวงานไม่เสร็จ หรือเสร็จไม่ทันได้มาก ที่สำคัญการสื่อสารเพื่อช่วยให้นายคลายความวิตกกังวลยังส่งผลดีต่อลูกน้องด้วย เพราะทำให้ลูกน้องเข้าใจการทำงานและวางแผนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ลูกน้องเองมีความเครียดน้อยลง ขาดความกังวลสงสัยทำให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น และเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ให้มองที่ความผิดพลาดและแก้ไขความผิดพลาด ไม่ใช่มองว่าใครผิดใครถูก และตำหนิตัวเองหรือผู้อื่น อย่างนี้ก็จะมีความสุขทั้งเจ้านายและลูกน้องค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือเข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

ความเครียดของทายาทผู้ที่ประสบความสำเร็จ

คนที่เกิดมา มีพ่อแม่ที่เก่งและประสบความสำเร็จในด้านต่างๆ เป็นไอดอล ดูน่าจะมีความสุข เพราะมีต้นทุนมาดี เติบโตมาพร้อมกับโอกาสในการเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิตและการทำงานอย่างประสบความสำเร็จ โดยการสังเกตและซึมซับความรู้และประสบการณ์จากพ่อแม่มาเต็มๆ เรียกว่าความเก่งและความสำเร็จของเขานั้น แทบจะแทรกซึมอยู่ในดีเอ็นเอเลยก็ว่าได้

แต่กลายเป็นว่า มีคนที่มีพ่อแม่เก่งจำนวนหนึ่ง ที่เมื่อต้องเข้ามาสืบทอดกิจการของพ่อแม่ หรือเริ่มต้นทำงานในที่ต่างๆ กลับรู้สึกขาดความเชื่อมั่นในตนเอง เพราะคิดว่าคนอื่นจับตามองและคอยเปรียบเทียบเขากับพ่อแม่ของเขาอยู่เสมอว่าจะเก่งได้เท่าพ่อแม่หรือไม่ บางคนก็คิดว่าไม่มีใครฟังความคิดเห็นของเขาโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ใหญ่ในบริษัทที่คุ้นชินกับการบริหารของพ่อแม่ของเขาและเห็นเขามาตั้งแต่เด็กๆ บางคนก็คิดว่าคนอื่นคิดว่าเขาได้รับสิทธิพิเศษในองค์กรมากกว่าคนอื่น เพราะเป็นลูกผู้ใหญ่ และบางคนก็ไม่มี passion ในรับทอดกิจการจากพ่อแม่เลย เพราะใจอยากไปทำอย่างอื่น

ความเครียดของทายาทรุ่นต่อไปของพ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จ เกิดจากการถูกปลูกฝังมาตั้งแต่วัยเด็ก หรือถูกบอกอยู่เสมอว่าสักวันหนึ่งเขาต้องรับทอดกิจการต่อจากพ่อแม่ ในด้านหนึ่งมีข้อดีที่ทำให้เด็กเติบโตขึ้นมาพร้อมเป้าหมายและความรับผิดชอบ แต่อีกมุมหนึ่งกลับกลายเป็นภาระที่หนักอึ้ง (ในความรู้สึกของเด็ก) ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกกลัวว่าถ้าหากตนเองล้มเหลว จะทำให้พ่อแม่เสียใจและไม่ภาคภูมิใจในตัวเขา บางคนไม่อยากจะล้มเหลว จึงเบนความสนใจไปสู่สิ่งอื่น เช่น ลูกนักธุรกิจแต่ไม่อยากทำธุรกิจของพ่อแม่ ก็อาจจะเปิดธุรกิจใหม่ของตัวเองที่แตกต่างจากธุรกิจของพ่อแม่ หรือประกอบอาชีพอื่นที่แตกต่างจากอาชีพของพ่อแม่ที่ประสบความสำเร็จ

ลูกหลานของผู้ที่ประสบความสำเร็จยังเกิดความเครียดจากคำพูดของคนรอบข้างที่พูดไปตามปกติว่า “หนูเก่งเหมือนคุณพ่อคุณแม่” “ลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น” “คุณพ่อคุณแม่หนูเก่งมาก หนูต้องเก่งให้มากกว่าคุณพ่อคุณแม่นะ” ฯลฯ แต่ในความรู้สึกของเด็กจะรู้สึกว่าเขาถูกเปรียบเทียบกับพ่อแม่ของเขาและผู้คนคาดหวังว่าเขาต้องเก่งเท่าหรือเก่งมากกว่าพ่อแม่ของเขา ทำให้เขาต้องแบกความคาดหวังของผู้คนเอาไว้ตลอดเวลาไม่รู้ตัว

การจะเปลี่ยนความรู้สึกถูกเปรียบเทียบ และการแบกความคาดหวังจากผู้อื่นนั้น เราต้องหันกลับมามองตัวเองให้ชัดเจน และยอมรับตัวเองอย่างที่เป็น ไม่ใช่อย่างที่พ่อแม่หรือผู้อื่นอยากให้เป็น แต่การยอมรับตัวเองว่าเป็นคนอย่างไร มีนิสัยอย่างไร มีทักษะที่โดดเด่นอะไร ไม่ใช่เหตุผลที่จะนำมาปฏิเสธหน้าที่และความรับผิดชอบ เช่น ทายาทธุรกิจที่ไม่อยากรับทอดกิจการเลยไปเป็นหมอหรือศิลปิน ลองมองสถานการณ์และโอกาสให้กว้างและนำทักษะที่เป็นจุดแข็งของตนมาใช้ในการสืบทอดธุรกิจหรืองานการที่พ่อแม่สร้างฐานไว้ให้ และขณะเดียวกันก็สานฝันของตัวเองไปพร้อมกันด้วย

จะเห็นได้ว่าทายาทที่สืบทอดธุรกิจจากพ่อแม่ ที่มองเห็นจุดแข็งของตนเองและรู้จักวิธีการนำจุดแข็งนั้นมาใช้ในด้านต่างๆ คนเหล่านี้จะประสบความสำเร็จในหลายๆ ด้านไปพร้อมกัน ทั้งด้านการสืบทอดธุรกิจและการสร้างสิ่งใหม่ๆ ที่ตนเองชอบ ส่วนทายาทที่ก้าวไม่ข้ามเรื่องการถูกเปรียบเทียบและความคาดหวังจากผู้อื่น ก็จะกลายเป็นคนที่ล้มเหลวซ้ำซาก สร้างปัญหา ไม่ทำอะไรจริงๆ จังๆ ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขไปวันๆ แต่ความสุขที่แท้จริงอันเกิดจากความภาคภูมิใจในตัวเองนั้นไม่มี

อย่างไรก็ตาม พ่อแม่เองก็ต้องเข้าใจด้วยว่าสิ่งที่พ่อแม่สร้างมาด้วยความภาคภูมิใจนั้น เป็นความภูมิใจของพ่อแม่ ไม่ใช่ของลูก ในกรณีที่ลูกไม่ต้องการสืบทอดความสำเร็จนั้น พ่อแม่ต้องเคารพในความต้องการของลูก เพราะลูกเองมีสิทธิในการดำเนินชีวิตและสร้างความภาคภูมิใจให้กับตัวของเขาเองเช่นกัน

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม ซึมเศร้า panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

ชีวิตการแข่งขันและรักษาตำแหน่งผู้นำทำซึมเศร้า

มีคุณผู้อ่านท่านหนึ่งเข้ามารับคำปรึกษากับครูเคทด้วยปัญหาว่า ช่วงนี้ไม่รู้สึกมีความสุขกับสิ่งต่างๆ ที่เคยชอบทำ อย่างเช่น เมื่อก่อนชอบดูซีรีส์เกาหลีมาก ดูได้ทั้งวันทั้งคืนแบบรวดเดียวจบ แต่ช่วงนี้ดูอะไรก็รู้สึกเบื่อไปหมด ดูแบบไม่ตั้งใจดูใจลอย นอกจากนี้ เจ้าตัวบอกว่าเป็นคนชอบนอนมาก เสาร์อาทิตย์สามารถนอนได้ทั้งวัน เพราะเธอขยันทำงานทุ่มเทให้งานมาก พอมีโอกาสพัก จึงชอบนอนเพื่อชาร์จแบตให้ตัวเอง แต่ตอนนี้กลับรู้สึกเบื่อแม้กระทั่งการนอน จนคิดว่าไม่รู้จะนอนทำไม ตื่นดีกว่า นอกจากนี้ ปกติเป็นคนที่ติดเพื่อนมาก อยู่คนเดียวไม่ได้ ต้องออกไปหาเพื่อนตลอด แต่ช่วงนี้รู้สึกเบื่อมาก ไม่อยากออกไปนอกบ้าน ไม่อยากเจอเพื่อน

ปกติเธอเป็นคนขยันทำงาน ทำงานหนัก มีความเชื่อว่าถ้าเธอตั้งใจทำเต็มที่แล้วไม่ควรมีอะไรผิดพลาด จึงทำให้เธอเป็นคนที่มุ่งมั่นพุ่งไปข้างหน้าอย่างมาก มุ่งแต่เป้าหมายไม่สนใจมองสองข้างทางที่นำไปสู่จุดหมายนั้น ถ้าหากมีอะไรผิดพลาด เธอจะรู้สึกล้มเหลว เธอบอกว่าบางครั้งรู้สึกทรมานและเหนื่อยมากในการทำงานให้สำเร็จ แต่พอทำสำเร็จแล้ว แทนที่จะรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจในตัวเอง เธอกลับรู้สึกโล่งใจ และรู้สึกว่าเธอทำถูกแล้ว เธอตัดสินใจได้ถูกแล้ว เธอไม่เคยหัวใจพองโตกับความสำเร็จของเธอเลย คนปกติเมื่อรู้สึกดีใจและภาคภูมิใจในความสำเร็จของตัวเองมักจะมีความรู้สึกหัวใจพองโตหรือตัวพองนั่นเอง แต่สำหรับเธอจะรู้สึกอย่างนั้น ก็ต่อเมื่อมีใครมาทำอะรไรดีๆ ให้เธอ หรือแสดงความสนใจ เป็นห่วงเป็นใยเธอ หรือสนใจความรู้สึกของเธอ เช่น เวลาเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานถามว่า เหนื่อยมั้ย หรือ ซื้อขนมมาฝาก เธอจึงจะรู้สึกดี หัวใจพองโต

เธอเติบโตมาในครอบครัวที่สอนให้ทำงานหนัก มีความมุ่งมั่น มานะพยายาม เมื่อทำอะไรดีแล้วก็ให้แข่งขันกับตัวเองหรือพัฒนาให้ดีขึ้นตลอดเวลา พ่อแม่ไม่เคยชมเธอตรงๆ แต่มักจะไปเล่าให้ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงฟัง และเธอมักจะได้ยินมาจากคนอื่นว่าพ่อแม่ชมเธอ เธอเรียนจบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งเหรียญทอง พ่อแม่ก็ไม่ชมตรงๆ แต่ให้เป็นของรางวัลแทน เธอไม่เคยชมตัวเอง และเมื่อผิดพลาดหรือล้มเหลวเธอจะโมโหตัวเอง ไม่ให้อภัยตัวเอง เธอชอบเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นเสมอ และบอกตัวเองว่าต้องทำให้ดีขึ้นหรือดีกว่าคนอื่น เธอมีความเชื่อว่าการทำอย่างนี้จะเป็นการพัฒนาตัวเเธอเองให้เก่งขึ้นเรื่อยๆ

จะเห็นได้ว่าเธอเริ่มมีอารมณ์ซึมเศร้าเพราะผลักดันเพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่ตลอดเวลา เมื่อทำสำเร็จแล้วเกิดความดีใจอยู่เพียงระยะหนึ่ง แล้วก็จางไป จิตของเธอจะมุ่งอยู่ที่สิ่งนอกตัวเท่านั้น ไม่เคยให้เวลาในการอยู่กับตัวเอง เข้าใจตัวเอง และยอมรับตัวเองโดยไม่มีเงื่อนไข จึงทำให้เธอมีสภาวะพร่องความสุขหรือสุขไม่ถึงที่สุดและไม่ยั่งยืนนั่นเอง หากคุณผู้อ่านเป็นอย่างนี้ ควรฝึกชื่นชมตัวเองทุกวัน เริ่มจากสิ่งเล็กๆ น้อยๆ มองเห็นความน่ารัก ความเป็นเด็ก อารมณ์ขันของตัวเองบ้าง เมื่อพลาด ให้มองตัวเองอย่างมีเมตตา ค่อยๆ ซึมซับความสุขที่ได้จากการเข้าใจตัวเองทุกๆ วัน (สุขทางตรง) ซึ่งเป็นความสุขที่ยั่งยืนมากกว่าความสุขจากการที่ผู้อื่นยอมรับหรือชื่นชม (สุขทางอ้อม) ค่ะ และหากมีอารมณ์ซึมเศร้า ไม่ควรมองข้าม ควรปรึกษาจิตแพทย์หรือนักจิตวิทยา อย่าปล่อยไว้โดยคิดว่าเดี๋ยวมันก็ดีขึ้นเอง เพราะบางทีอะไรที่เราเก็บเอาไว้มากมายมันอาจจะล้นออกมาในอนาคตก็ได้

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม ซึมเศร้า panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

บาดแผลทางใจที่ส่งผลต่อสุขภาพกาย

ยุคนี้เป็นยุคที่ผู้คนเอาใจใส่สุขภาพกายกันมากขึ้น ทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และการล้างพิษด้วยวิธีการต่างๆ มากมาย แต่ผู้คนสมัยนี้กลับดูเหมือนว่าจะมีความเจ็บป่วยทางกายมากยิ่งขึ้น เรามักพบว่าอายุของผู้ป่วยที่เป็นโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง และเนื้องอก จะมีอายุน้อยลงขึ้นเรื่อยๆ คนหนุ่มสาวเริ่มมีปัญหาปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง หรือ office syndrome และปวดศีรษะไมเกรนกันจนเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติไปเสียแล้ว ทั้งๆ ที่คนเหล่านี้ก็ดูแลสุขภาพของตัวเองดี

จากการที่ครูเคทได้ให้คำปรึกษา จิตบำบัด และการฝึกอบรมเรื่องการจัดการความเครียดให้กับผู้คนในองค์กรจำนวนมาก ได้พบความเชื่อมโยงที่น่าสนใจคือ คนที่มีปัญหาปวดศีรษะไมเกรน มักเป็นคนที่ชอบคิดมาก คิดวนเวียน ย้ำคิดย้ำทำ และวิตกกังวลกลัวไม่ดี ไม่ถูก ฯลฯ ส่วนคนที่ปวดคอ บ่า ไหล่ หลัง มักเป็นคนที่นิสัยเป็นพ่อพระแม่พระ แบกรับภาระของคนอื่นๆ ไว้มากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมาชิกในครอบครัวหรือคนสำคัญในชีวิต และคนที่มีอาการปวดเอวหลังร่วมด้วย มักจะเป็นคนที่แบกภาระทางการเงินของครอบครัว หรือวิตกกังวลเรื่องปัญหาการเงิน คนที่มีปัญหาปวดท้อง ท้องเสีย ท้องผูก แผลในกระเพาะอาหาร กรดไหลย้อน มักเป็นคนที่มีความกลัวหรือความวิตกกังวลลึกๆ อยู่ในใจสูง แต่มักไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวดีว่ากลุ้มเรื่องอะไร แต่ดูเหมือนว่าจะหาทางออกไม่ได้ จึงจำยอมทนอยู่ในสภาวะที่เป็นทุกข์นั้น ส่วนคนที่มีปัญหาความดันโลหิต เวลาเครียดมักแน่นหน้าอก มักจะเป็นคนที่ไม่ปล่อยวางความผิดหวัง เสียใจ น้อยใจ หรือแม้แต่ความโกรธเกลียดแค้นใจ

เมื่อได้ค้นคว้าเพิ่มเติมเพื่อหาคำอธิบาย ก็ได้พบงานวิจัยทางการแพทย์ที่มีผู้คนให้ความสนใจสูงมากของเฟลิติและอันดา (1998) ที่พบว่าประสบการณ์เลวร้ายหรือชอกช้ำในวัยเด็ก เช่น การถูกดุด่าตำหนิ หรือถูกเปรียบเทียบ การถูกทอดทิ้ง ห่างเหินจากพ่อแม่ พ่อแม่ทะเลาะตบตีกัน พ่อแม่เสียชีวิต ไปจนถึงการถูกทุบตีทารุณกรรม ฯลฯ ล้วนส่งผลต่อปัญหาทางกายของคนเราเมื่อโตขึ้น โดยมีโอกาสเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เบาหวาน ปวดศีรษะ โรคลูปัส มะเร็ง ซึมเศร้า มากกว่าคนทั่วไปเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ ส่วนเด็กที่พ่อแม่หย่าร้างมีโอกาสเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตในอนาคตเพิ่มขึ้นสองเท่า ทั้งนี้เพราะความเครียดสะสมและคาดเดาไม่ได้ในวัยเด็กส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับชีวเคมีของเซลล์ในร่างกาย และแม้แต่ดีเอ็นเอของเรา และเมื่อความไม่สมดุลถึงจุดที่ล้น เซลล์ต่างๆ จึงพยายามปรับตัวและแสดงความผิดปกติไม่สมดุลนั้นออกมาทางกาย นอกจากนี้ความไม่สมดุลระดับดีเอ็นเอของคนเรานั้นสามารถส่งต่อมายังรุ่นลูกหลานได้ ดังจะเห็นได้จากหลายๆ โรคที่ส่งต่อทางพันธุกรรมได้ เช่น เบาหวาน มะเร็ง รวมทั้งโรคทางจิตบางอย่าง เช่น ซึมเศร้า ไบโพลาร์ จิตเภท ฯลฯ

ดังนั้นหากมนุษย์ต้องการมีชีวิตที่มีความสุขอย่างแท้จริง ต้องเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก ด้วยการได้รับการเลี้ยงดูที่สมดุลทั้งทางร่างกายและทางจิตใจ และเมื่อเติบใหญ่และเกิดอาการเจ็บไข้ได้ป่วยทางกาย ก็อย่ามองข้ามรากของปัญหาทางกายที่อาจเกิดจากปัญหาทางใจที่ถูกสะสมมาตั้งแต่วัยเด็กด้วยนะคะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม ซึมเศร้า panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 0814581165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ

รับมือกับเจ้านายขี้หงุดหงิด

ช่วงโควิด-19 หลายๆ องค์กรต่างได้รับผลกระทบกันไม่มากก็น้อย แต่ที่แน่ๆ คือความเครียดของผู้บริหารและพนักงานนั้นสูงขึ้นแน่นอน ไม่ว่าจะเรื่องรายได้ลงลด หรือต้นทุนสูงขึ้น หลายบริษัทจำเป็นต้องลดพนักงานลง พนักงานที่เหลืออยู่ก็เครียดเพราะงานหนักขึ้น เจ้าหน้าก็เครียดเรื่องทำอย่างไรบริษัทจึงจะอยู่รอด ดังนั้น การหงุดหงิดใส่กัน ไม่เข้าใจกัน น้อยอกน้อยใจกัน จึงเกิดมากขึ้นในองค์กรในช่วงนี้

มีพนักงานหญิงคนหนึ่งเข้ามารับคำปรึกษากับครูเคท ว่าช่วงนี้รู้สึกจิตตกกับการทำงาน เพราะรู้สึกว่าทำอะไรก็ไม่ได้ดั่งใจเจ้านาย บางทีนายก็บอกว่าไว้ใจให้ทำงานอะไรไม่ได้สักอย่าง ทำงานให้เสร็จไปวันๆ ไม่ใส่ใจงาน ฯลฯ เธอทำงานเป็นมือขวาเจ้านายซึ่งเป็นเจ้าของบริษัทด้วย แต่นายเป็นคนเรื่องเยอะ เช่น เธอเตรียมสไลด์ให้ เจ้านายก็บ่นว่ารูปแบบไม่สวย สีไม่ถูกต้อง ตัวอักษรเล็กไป สะกดผิด ฯลฯ เธอคิดว่าเธอเป็นคนตั้งใจและทุ่มเทให้กับการทำงานมาก ไปทำงานแต่เช้ากลับดึกทุกวัน เสาร์-อาทิตย์ถ้ามีงานเธอก็ไปด้วยความเต็มใจ แต่ทำไมนายดูจะหงุดหงิดกับเธอมาก

ปัญหาเจ้านายกับลูกน้องในเคสนี้เกิดจากการมองคนละมุม ลองมามองมุมของเจ้านายก่อนนะคะ ในสภาวะตึงเครียดทั้งเรื่องเศรษฐกิจและการเมืองอย่างในปัจจุบันนี้ เจ้านายคงจะมีความวิตกกังวลหลายด้าน ไหนจะหารายได้เข้าบริษัทให้ได้ตามเป้า เพื่อให้ครอบคลุมหนี้สินและค่าใช้จ่ายต่างๆ และยังต้องดูแลพนักงานโดยพยายามรักษาไม่ทำให้ใครต้องตกงาน ความกังวลเหล่านี้ทำให้คนเป็นนายเกิดความเครียดแล้วไม่รู้จะจัดการกับความเครียดอย่างไร จึงกระแทกออกมาเป็นความหงุดหงิด โกรธ ตำหนิติเตียน และกล่าวโทษลูกน้อง ส่วนด้านลูกน้อง ก็เครียดในใจว่าบริษัทจะยังไปรอดหรือไม่ ตนจะตกงานไม่รู้ตัวหรือไม่ ฯลฯ จึงทำให้ลูกน้องมีโอกาสทำงานผิดพลาดตกหล่นขาดสมาธิในการทำงาน

คนที่มีความวิตกกังวลจะมีอาการครุ่นคิดวนเวียนอยู่ในใจทั้งที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ความไม่รู้ตัวนี่แหละค่ะที่ทำให้คนเราเกิดความเครียด และเมื่อเครียดมากขึ้น ก็เกิดอารมณ์หงุดหงิด สิ่งที่คนทำงานกังวลแบบไม่รู้ตัวมากที่สุดก็คือ กลัวทำไม่เสร็จ กลัวทำไม่ถูก กลัวทำไม่ดี เพราะคิดเอาว่าหากเราทำอะไรผิดพลาด ไม่สำเร็จ หรือไม่มีคุณภาพ ผลที่จะตามมาก็คือการถูกตำหนิติเตียน หรือถูกดูถูกจากคนอื่นๆ หรือแม้แต่ผิดหวังกับตัวเอง ดูถูกและตำหนิตัวเองว่าล้มเหลว การมองตัวเองในแง่ลบเกิดจากการเผลอเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นอยู่เสมอ และมีแนวโน้มเห็นว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นอยู่บ่อยๆ

ในช่วงที่บรรยากาศในที่ทำงานมีความเครียด ทั้งเจ้านายและลูกน้องควรเปลี่ยนวิธีการสื่อสาร เจ้านายเวลาสั่งงาน ควรสั่งให้ชัดเจนว่าต้องการอะไร เพราะอะไร จะเอาไปทำอะไร เพื่อใคร เพื่อให้ลูกน้องได้เห็นภาพเดียวกัน ส่วนลูกน้องเวลารับคำสั่ง ก็ควรทวนความเข้าใจของตัวเองให้นายฟังสักรอบ เพื่อจะได้มั่นใจว่าเห็นตรงกัน และควรอธิบายแผนการทำงานของตนและเหตุผลที่ตัวเองจะทำอย่างนั้นให้นายได้รับทราบ เพื่อที่นายจะได้ช่วยดูกระบวนการทำงานถูกต้องแล้วหรือยัง ซึ่งจะช่วยทำให้นายคลายความกลัวผลงานจะออกมาผิดพลาด และความกลัวผลงานออกมาไม่มีคุณภาพได้ด้วย ระหว่างการทำงาน ลูกน้องควรมีการรายงานเจ้านายเป็นระยะๆ เพื่อให้เจ้านายคลายความกลัวงานไม่เสร็จ หรือเสร็จไม่ทันได้มาก ที่สำคัญการสื่อสารเพื่อช่วยให้นายคลายความวิตกกังวลยังส่งผลดีต่อลูกน้องด้วย เพราะทำให้ลูกน้องเข้าใจการทำงานและวางแผนการทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ลูกน้องเองมีความเครียดน้อยลง ขาดความกังวลสงสัยทำให้มีสมาธิในการทำงานมากขึ้น และเมื่อมีความผิดพลาดเกิดขึ้น ให้มองที่ความผิดพลาดและแก้ไขความผิดพลาด ไม่ใช่มองว่าใครผิดใครถูก และตำหนิตัวเองหรือผู้อื่น อย่างนี้ก็จะมีความสุขทั้งเจ้านายและลูกน้องค่ะ

ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือเข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ