มีน้องผู้อ่านเขียนมาปรึกษาครูเคทในแฟนเพจ kate inspirer ว่า “…ตอนนี้หนูเครียดมาก อยากจะปรึกษาปัญหาที่ว่าพ่อแม่อยากให้หนูเป็นหมอ แต่ดูเหมือนว่าหนูก็ไม่ได้ชอบทางนี้เลย แต่ไม่รู้ว่าจะบอกพวกเขายังไงค่ะ…”
ก่อนที่จะตอบน้องว่าควรบอกคุณพ่อคุณแม่อย่างไร ขออธิบายให้คุณพ่อคุณแม่เข้าใจก่อนว่าอาชีพในยุคปัจจุบันนั้นมีมากมายกว่ายุคที่คุณพ่อคุณแม่ยังเรียนอยู่ และต้องตัดสินใจเลือกว่าจะเรียนอะไร แน่นอนว่าในยุคนั้น หมอและวิศวกรเป็นอาชีพในฝันของทุกคน เพราะมองว่าเป็นอาชีพที่มั่นคง รายได้ดี และมีเกียรติ แต่ในโลกปัจจุบันของเยาวชนคนรุ่นใหม่นั้น การทำงานประจำกินเงินเดือนดูจะห่างไกลจากความฝันของพวกเขาอยู่มาก เยาวชนในยุคนี้ต้องการงานที่มีอิสระ เป็นนายตัวเอง เพราะทั้งชีวิตเขาถูกผู้ใหญ่คอยชี้นำจนเขาไม่รู้แล้วว่าตัวของเขาเองชอบอะไรหรืออยากเป็นอะไรจริงๆ นอกจากนี้ การที่เยาวชนในยุคนี้ไม่ต้องการทำงานองค์กรใหญ่ๆ ก็เพราะกลัวการถูกตีกรอบ ถูกจับตามอง ถูกเปรียบเทียบ และถูกประเมินว่าเก่งไม่เก่ง ดีไม่ดี เหมือนกับที่เขาได้รับจากครอบครัว จึงทำให้เมื่อเรียนจบมา ก็ไม่อยากสมัครงานที่ใด แต่พยายามจะสร้างงานอิสระให้กับตัวเอง
การถูกชี้นำโดยที่พ่อแม่ผู้ปกครองตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจจะชี้นำ ทำให้น้องๆ หลายคนเกิดการกดข่มความฝันหรือถอดใจในการที่จะเดินตามความฝันของเขา และกลายเป็นคนที่ไม่มีความฝัน หรือไม่มี passion หรือแรงขับเคลื่อนในการดำเนินชีวิตตามที่พวกเขาต้องการ ปัญหาที่ทั้งพ่อแม่และน้องๆ มาปรึกษาครูเคทบ่อยมากในปัจจุบันคือ ไม่รู้ว่าจะเรียนอะไร ไม่รู้ว่าอยากทำอะไร น่าเสียดายที่น้องๆ ในวัยเรียนนี้น่าจะเป็นวัยที่ควรสนอกสนใจเรียนรู้อะไรในเชิงลึกและกว้าง แต่ในยุคที่สังคมมีการแข่งขันสูง พ่อแม่ที่มีความวิตกกังวลต่ออนาคตของลูกมากเกินไป อาจเผลอครอบงำความคิดลูกโดยไม่รู้ตัว
บ้านใดที่ลูกๆ ตอบไม่ได้ว่าจะเรียนอะไร จะทำอะไร ขอให้ลองถอยกลับมามองดูว่าการเลี้ยงดูลูกๆ ที่ผ่านมา เคยได้ปล่อยให้เขาได้มีโอกาสอยู่กับตัวเอง ค้นหาตัวเองบ้างหรือไม่ หรือทุกอย่างถูกคิดถูกจัดตาราง ถูกป้องกันปัญหาไว้ให้เขาเรียบร้อยแล้ว ลูกเคยได้ลองผิดลองถูกบ้างหรือไม่ ลูกได้เคยล้มเหลวแล้วลุกขึ้นเองโดยพ่อแม่ไม่ต้องช่วยบ้างหรือไม่ บางบ้านมักบอกว่าไม่เคยครอบงำ ให้ลูกตัดสินใจอะไรเอง แต่พ่อแม่เป็นคนชี้นำทางเลือกให้ลูกเลือกเอง หรือคอยประเมินการกระทำของลูกอยู่เสมอหรือไม่ หรือไม่ได้ฟังการตัดสินใจของลูกด้วยความเคารพในมุมมองของลูก แต่เผลอฟังด้วยความวิตกกังวลหรือไม่ บางทีปฏิกิริยาของพ่อแม่ที่มีต่อการตัดสินใจของลูก อาจทำให้ลูกกลัวที่จะบอกหรือปรึกษาอะไรกับพ่อแม่ เหมือนอย่างในกรณีน้องผู้อ่านที่เขียนมาถามนี้ก็ได้
ข้อแนะนำในการพูดคุยเรื่องสำคัญระหว่างพ่อแม่ลูกคือ แทนที่ต่างคนต่างพูดความต้องการและจุดยืนของตัวเอง พร้อมทั้งคำอธิบาย เหตุผลต่างๆ นานาเพื่อที่จะจูงใจให้อีกฝ่ายเชื่อหรือยอมตาม แต่ละฝ่ายควรพูดถึงความวิตกกังวลของตนเองออกมาให้ทุกคนเข้าใจด้วย เพื่อที่การสนทนาจะครอบคลุมถึงการช่วยการแก้ปัญหาหรือลดความวิตกกังวลของกันและกัน ไม่ใช่การเอาชนะให้ได้ตามจุดยืนของตัวเอง เช่น น้องที่ไม่อยากเป็นหมอ ควรพูดถึงความรู้สึกหรือความกังวลของตัวเองหากต้องเป็นหมอ (ไม่ใช่พูดว่าตัวเองไม่ชอบเป็นหมอ แต่อยากเป็นอย่างอื่น อาชีพที่อยากเป็นให้พูดในภายหลัง) ส่วนพ่อแม่ก็ควรพูดถึงความกังวลของตัวเองในการที่ลูกไม่ได้เป็นหมอ (ไม่ใช่พูดว่าทำไมลูกควรเป็นหมอ) ฟังดูอาจจะงงๆ บ้าง เพราะเราไม่เคยชินที่จะพูดในมุมที่เราไม่เคยมอง แต่ลองดูเถอะค่ะ แล้วจะแฮปปี้เอนดิ้งทั้งพ่อแม่ลูก
ใครมีปัญหา ลูกเรียนไม่เก่ง ไม่รู้จะทำอะไรในอนาคต ญาติพี่น้องติดกลุ่มลัทธิ ปัญหาครอบครัว ความสัมพันธ์ การทำงาน ติดโซเชียล ติดเกม panic และ phobia มารับคำปรึกษากับครูเคทได้ที่ KruKate Counseling Center ต้องการนัดคิว โทร. 08-1458-1165 หรือ เข้าไปฝากคำถามและแชร์ประสบการณ์ในแฟนเพจ www.facebook.com/kateinspirer และ YouTube channels: Kate Inspirer ได้นะคะ